“สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” มีคำสั่งให้กองปราบปรามเข้าร่วมสอบสวนทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายสิบตำรวจพร้อมประสาน ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ที่เกี่ยวข้่องในคดีก่อนดำเนินการยึดทรัพย์
วันนี้ (20 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.จักษ์ จิตตธรรม และพ.ต.ท.อัญชุลี ธีระพงษ์ไพศาล รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมกันแถลงข่าวประจำสัปดาห์
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า เรื่องการทุจริตสอบตำรวจตอนนี้มีความชัดเจนเรื่องสนามสอบ โดย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.หัวหน้าคณะทำงานการจัดสอบใหม่ ได้สรุปว่าจะใช้สนามสอบในส่วนภูมิภาคเป็นหลัก แยกเป็นภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนืิอ ภาคตะวันออก ภาคใต้ และส่วนกลาง กทม.อีก 1 สนาม ซึ่งจะให้ไปจัดหาสนามสอบที่เป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในแต่ละภูมิภาคที่สามารถจุคนสอบได้ประมาณ 2 หมื่นคนที่จะสอบในแต่ละภูมิภาค เพื่อที่จะสามารถใช้เทคโนโลยีที่ ตร.พัฒนาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องตรวจโลหะ เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์และวิทยุความถี่ต่ำ
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวต่อว่า สำหรับข้อสอบจะออกใหม่ทั้งหมด คณะกรรมการจะใช้ชุดเดิมแต่จะมีปรับปรุงใหม่ ถึงตอนนี้ยังไม่มีการกำหนดวันสอบใหม่ เนื่องจากต้องรอเรื่องสนามสอบที่ต้องเป็นสถานที่ที่ว่างพร้อมกัน และต้องรอขั้นตอนการออกข้อสอบใหม่ด้วย
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวต่อว่า ในส่วนของการสอบสวน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัติ รองผบ.ตร.ที่เป็นเป็นหัวคณะกรรมการทำงานด้านการสอบสวนได้ให้ทางกองปราบปรามมาร่วมทำคดีนี้ด้วย ตอนนี้การสอบสวนมีความคืบหน้าไปมากมีการออกหมายจับและจับกุมได้เป็นระยะ ในสัปดาห์นี้จะเน้นเรื่องของการยึดทรัพย์โดยประสานงานกับทาง ปปง.ในการดำเนินการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินตลอดจนทรัพย์สิน การโอนย้ายทรัพย์สิน ของผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับแล้ว ถูกจับกุมตัวแล้วและผู้ที่มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหมด
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ในส่วนของตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นนายหน้า ยังไม่มีหลักฐานจนสามารถออกหมายจับได้ ให้ดำเนินการทางปกครองไปก่อน ในส่วนของเรื่องการใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการทุจริตสอบของศูนย์สืบสวนสอบสวนนครบาลเป็นผู้ดำเนินการ และพบว่าเทคโนโลยีที่นำมาใช้มีความคล้ายคลึงกับทีใช้ในการทุจริตสอบเมื่อปี 2553 การสอบสวนเรื่องทุจริตสอบตำรวจนี้จะนำไปใช้และมีประโยชน์ในการสอบบรรจุเข้ารับราชการครูในอีกไม่กี่วันข้างหน้าด้วย
