หญิงสาวเหยื่อโรคจิตโร่แจ้งความ สน.บางซื่อ หลังถูกสาดน้ำกรดใส่คอและแขนย่านสะพานควาย ตำรวจเผยประชาชนตกเป็นเหยื่อแล้ว 5 คน เร่งสืบสวนจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี เชื่อคนก่อเหตุน่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกันเนื่องจากมีพฤติกรรมคล้ายกัน
วันนี้ (9 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ สน.บางซื่อ น.ส.แอน (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี ผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายโรคจิตสาดน้ำกรดใส่บริเวณย่านสะพานควาย เดินทางเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.หญิง ชุติมา ศิริเมธาวี พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.บางซื่อ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยมี พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 ร่วมทำการสอบปากคำหาข้อมูลเบาะแสเพิ่มเติมด้วย
น.ส.แอน (นามสมมติ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค. เวลาประมาณ 19.30 น. ขณะที่กำลังเดินทางไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย ซึ่งอยู่ฝั่งหน้าห้างบิ๊กซี ในช่วงที่เดินอยู่ริมฟุตบาธนั้น รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำกระเด็นมาถูกบริเวณคอและแขน จากนั้นไม่นานก็รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาทันที จึงขอน้ำเปล่าจากแม่ค้าแถวนั้นล้างเบื้องต้นไปก่อน ต่อมาได้เข้าห้องน้ำที่ห้างบิ๊กซีสะพานควายอีกครั้ง แต่ยังไม่ดีขึ้นจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลเปาโล
“ตอนนั้นแพทย์บอกว่าเป็นเคมีเบิร์น ส่วนบริเวณจุดเกิดเหตุ ดิฉันไม่เห็นมีใครเดินตามหลังมาหรือสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่เคยมีเหตุทะเลาะกับใครมาก่อน สำหรับบาดแผลตอนในตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว โดยหมอให้ยาทาและให้ใช้ผ้าพันแผลปิดไว้” เหยื่อคนร้ายโรคจิตกล่าว
พ.ต.อ.เจริญเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าของวันเดียวกัน ได้เรียกเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีมีคนโรคจิตใช้สารเคมีบรรจุขวดสเปรย์ไล่ฉีดประชาชนทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งหลังจากการประชุมทำให้ทราบข้อมูลเบื้องต้นว่ามีผู้เสียหายทั้งหมด 5 คน เป็นหญิง 4 คนและชาย 1 คน โดยที่ บก.น.2 พื้นที่ สน.บางซื่อ มี 1 คน, พื้นที่ สน.พหลโยธิน มีผู้เสียหาย 2 คน และท้องที่ สน.สุทธิสาร มีจำนวน 1 คน ส่วนในท้องที่ บก.น.5 มีจำนวน 1 คน ในพื้นที่ สน.ลุมพินี
พ.ต.อ.เจริญกล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ให้แต่ละพื้นที่ลงหาข้อมูลหลักฐานและสอบปากคำผู้เสียหาย รวมทั้งให้ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่ต่างๆ ที่เกิดเหตุ แต่พบว่าไม่สามารถบันทึกภาพคนร้ายไว้ได้ ขณะเดียวกัน คาดว่าคนร้ายที่ก่อเหตุในแต่ละท้องที่น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน เนื่องจากมีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน
“ยอมรับว่าการติดตามจับกุมคนร้ายนั้นยากลำบาก เพราะผู้เสียหายแต่ละรายไม่มีเหตุจูงใจอะไรที่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่าสามารถจับกุมคนร้ายได้ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ” พ.ต.อ.เจริญกล่าว