เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยเมื่อ"บิ๊กอ๊อบ"พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.มีคำสั่งโยก "เดอะแจ๊ส" พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ข้ามห้วยมา รรท.ผบช.น แทน พล.ต.ท.วินัย ทองสอง เจ้าของรหัส "น.1" ที่ถูกโยกเข้าไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานผบ.ตร.เป็นเวลา 30วัน ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันไปว่าเป็นการลงโทษลงทัณฑ์ ฐานที่เจ้าตัวบกพร่องในการคุมม็อบ ปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ ปิดเส้นทางโดยรอบอาคารรัฐสภา จนเป็นเหตุให้บรรดาส.ส.โดยเฉพาะฟากรัฐบาลไม่สามารถเข้าประชุมเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายอัปยศ "พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ..." ได้ และเป็นเหตุให้ต้องเลื่อนวาระนี้ออกไป
ที่สำคัญวันรุ่งขึ้นผบ.ตร.เจ้าเก่ายังได้มีคำสั่งอีกฉบับ เด้ง"เดอะแต้ม" พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผบช.น.ซึ่งความสัมพันธ์ทึ่ดีกับพรรคเพื่อไทย ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานผบ.ตร.เป็นระยะเวลา 30วัน เช่นเดียวกัน ซึ่งก็ยิ่งเป็นการคอนเฟิร์มแนวคิดที่ว่าการเด้งฟ้าผ่าในครั้งนี้มาจากความบกพร่องเรื่องการดูแลม็อบแต่เพียงอย่างเดียว และไม่มีนัยยะอื่นแอบแฝง เพราะอย่างที่ทราบนายตำรวจทั้งสองนายต่างเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลม็อบครั้งนี้
แต่ทว่าอีกมุมต้องไม่ลืมว่า พล.ต.ท.วินัย นั้นมีความใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตรอย่างลึกซึ้ง ด้วยมีศักดิ์เป็นหลานเขยหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ประกอบกับเจ้าตัวเองยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี และสามารถเป็นขุมกำลังให้กับตระกูลชินวัตรได้อีกยาวนาน ดังนั้นคำสั่งเด้ง พล.ต.ท.วินัย ครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการลงโทษ อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อกัน พล.ต.ท.วินัย ออกพ้นจากความขัดแย้ง และไม่ต้องเปลืองตัว เสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีหากเกิดความผิดพลาดในการสลายม็อบ ดังเช่น "บิ๊กเบื๊อก" พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผบช.น.เคยประสบมาก่อน
สอดคล้องกับข้อมูลของแหล่งข่าววงในระบุตรงกันว่าโจทย์สำคัญที่"นายใหญ่"สั่งตรงมาจากทางดูไบคือทำทุกวิถีทาง ให้การประชุมสภาดำเนินต่อไปได้ เพื่อให้ที่ประชุมสามารถผ่านกฎหมายฉบับดังกล่าวออกมาให้จงได้ แต่ทว่า พล.ต.ท.วินัย กลับไม่สามารถตีโจทย์นี้แตกได้ โดยนายใหญ่ถึงกับ "ควันออกหู" จนเป็นเหตุให้ พล.ต.ท.วินัย ต้องถูกเก็บกรุ แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น หากสามารถจัดการเรื่องม็อบและผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ด้วยสายสัมพันธ์ที่มี เก้าอี้ตัวนี้ก็จะถูกส่งคืนให้กับ พล.ต.ท.วินัย ดังเดิม หรือ ให้เจ้าตัวเลือกเก้าอี้ตัวอื่นที่ตนเองปรารถนา
การส่ง พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ซึ่งมีความพร้อมในเรื่องหัวจิตหัวใจ ครบเครื่องทั้งบุ๋นบู๊ มาคุมเมืองหลวงในยามที่สถานการณ์ทางการเมืองกำลังคุกรุ่นรอวันปะทุเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา โดยเฉพาะธงของฝ่ายการเมืองที่ต้องการผลักดันกฎหมายอัปยศที่ใครๆ ก็มองออกว่าเป็นกฎหมายฟอกผิดให้ตัวพ่ออย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และพากลับบ้านอย่าง"เท่ห์" ตามที่เจ้าตัวเคยคุยโม้เอาไว้
ขณะเดียวกันนี่ยังถือเป็นการส่งสัญญาณ จากฝ่ายการเมืองว่าคราวนี้พวกเขา "เอาแน่" และก็ "เอาจริง" ทั้งเรื่องการเดินหน้ากฎหมายปรองดอง และการจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ หากยังดื้อดึงไม่ยอมสยบต่ออำนาจบารมีของพวกเขา หากคราวนี้ยังคงยืนกรานที่จะชุมนุมคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ต่อไป คราวนี้อาจจะเจอ"ไม้แข็ง" อย่างแน่นอน
เพราะหากย้อนประวัติ รรท.ผบช.น. คนนี้มีประวัติการทำงานที่ไม่ธรรมดา ในแวดวงสีกากี พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ถือเป็นตำรวจมือปราบมือฉมังที่ยากจะหาตัวจับ สามารถคลี่คลายคดีสำคัญๆ มาแล้วนับไม่ถ้วน และถือเป็นตำรวจสายเหยี่ยวที่มีความเด็ดเดี่ยว ถึงลูกถึงคน รวมทั้งมีบารมีเป็นที่ยำเกรงของผู้ใต้บังคับบัญชา และคนภายนอกวงการสีกากีต่างก็รู้กันดี
กับฟากการเมือง พล.ต.ต.คำรณวิทย์ มีสายสัมพันธ์แนบเเน่นกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ "บิ๊กเหลิม" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยแล้วยิ่งแนบแน่นเป็นพิเศษ อาจเรียกได้ว่าเป็น "เด็กในคาถา" ก็คงไม่ผิดนัก ถึงกับเคยหมายมั่นปั้นมือจับจองเก้าอี้ผบช.น.ให้กับ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ มาแล้ว แต่เมื่อไม่สำเร็จจึงปลอบใจด้วยการให้มานั่งผบช.ภ.1 คุมพื้นที่สำคัญ ซึ่งเป็นเสมือนฐานมั่นของคนเสื้อแดง แต่กลับติดปัญหากรณีของ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ที่คั่วตำแหน่งนี้อยู่ก่อน พล.ต.ต.คำรณวิทย์ จึงได้เพียงรางวัลปลอบใจแค่ รรท.ผบช.ภ.1
นอกจากนี้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนางปวีณา หงสกุล ซึ่งเพิ่งหลุดบ่วงบ้านเลขที่ 111 และที่สำคัญที่สุดยังเป็นตำรวจไม่กี่นายที่สามารถ"เข้าถึง" มีความใกล้ชิด รวมถึงยังเป็นมือทำงานของ "บิ๊กแม้ว"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากยังพอจำกันได้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ เคยดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จ.นราธิวาส ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 แต่ในครั้งนั้นมีปัญหาเรื่องการอุ้มฆ่าในพื้นที่ 3 จังหวัด จนเป็นเหตุให้ไฟใต้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง พล.ต.ต.คำรณวิทย์ จึงถูกโยกมาเป็น ผบก.ภ.จ.ตราด แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการลงโทษแต่ประการใด เพราะผบก.ภ.จ.ตราด ใครๆ ก็อยากเป็น จากนั้นไม่นานก็ได้ดิบได้ดีย้ายมาเป็นผบก.ปดส.ตามลำดับ
นอกจากฝีไม้ลายมือเรื่องการทำคดี การปราบโจรแล้ว หากย้อนไปเมื่อปี 2545 สมัยรัฐบาลทักษิณ 1 พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ก็เคยมีประสบการณ์คุมม็อบ แต่เป็นม็อบชาวบ้านที่รวมตัวชุมนุมคัดค้านท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ และโรงแยกก๊าซที่ อ.จะนะ จ.สงขลา โดยชาวบ้านเตรียมยื่นหนังสือถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่เดินทางมาประชุมครม.สัญจร แต่ตำรวจกลับมีการใช้กำลังเข้าปราบปรามจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จนศาลพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายให้กับเหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้น และมีการดำเนินคดีกับนายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการโหดดังกล่าว
จากโปรไฟล์ที่กล่าวมา นับถอยหลังจากนี้ไป 30 วัน คงต้องรอดูกันว่า พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการกำราบปราบโจรมาแล้วทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ มีประวัติการทำงานสนอง พ.ต.ท.ทักษิณ มาอย่างโชกโชน จะสามารถฝ่าสมรภูมิม็อบพันธมิตรฯ และจะ "เอาอยู่" หรือไม่…ต้องติดตาม!!!
พล.ต.ต.คำรณวิทย์เป็นชาวจ.ปทุมธานี เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 30 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษา(สบ10) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตที่ปรึกษา(สบ10) ด้านการสืบสวน เคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ อาทิ ผบก.ภ.จ.นราธิวาส ผบก.ภ.จ.ตราด ผบก.ปดส. ก่อนที่จะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งรองผบช.ภ.1 และรรท.ผบช.ภ.1 ก่อนถูกโยกมา รรท.ผบช.น.ในปัจจุบัน