อัยการฟ้องศาลปกครอง อัยการสูงสุด-คณะกรรมการอัยการ เด้งไม่ชอบ ขอเพิกถอนมติ ก.อ.-ออกระเบียบวางหลักเกณฑ์โยกย้ายถูกต้อง เจ้าตัวไม่ห่วงฟ้องกระทบหน้าที่ มั่นใจเป็นการใช้สิทธิ์ร้องความเป็นธรรมตามกฎหมายไม่ผิดวินัย
วันนี้ (24 พ.ค.) ที่ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ น.ส.จันทิมา ธนาสว่างกุล อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานฝ่ายสัญญาและหารือ 3 ซึ่งถูกย้ายไปประจำสำนักงานการยุติข้อพิพาททางแพ่ง ยื่นฟ้องนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด, คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 เรื่องการออกคำสั่งโดยมิชอบ ขอให้ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษา สั่งเพิกถอนมติ ก.อ. ในการประชุมครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 55 ที่เห็นชอบให้ย้าย น.ส.จันทิมา ผู้ฟ้อง จากตำแหน่งอัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานฝ่ายสัญญาและหารือ 3 ไปประจำสำนักงานการยุติดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ และขอให้ศาลสั่ง ก.อ. ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 ที่ให้มีการออกระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์การโยกย้ายข้าราชการอัยการให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางรับคำฟ้องไว้ในสารบบความเป็นคดีหมายเลขดำที่ 819/2555 ซึ่งศาลจะพิจารณาและมีคำสั่งว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลที่จะมีคำพิพากษาได้หรือไม่ต่อไป
น.ส.จันทิมา อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานการยุติดำเนินคดีทางแพ่งฯ ผู้ฟ้องกล่าวว่า การใช้สิทธิ์ยื่นฟ้องคดีเพราะเห็นว่าการโยกย้ายนั้นดำเนินการโดยใช้ดุลพินิจไม่ชอบ ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฯ ที่ให้มีการออกระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์ก่อนการพิจารณาโยกย้าย แต่ที่ผ่านมาการโยกย้ายไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ขณะที่ในส่วนของตัวเองเป็นการพิจารณาโยกย้ายนอกวาระ และไม่ได้สอบถามความสมัครใจ ซึ่งการโยกย้ายนอกวาระจะต้องมีการยื่นคำขอให้พิจารณา แต่ในส่วนของตนไม่เคยยื่นคำขอเรื่องนี้ อีกทั้งการโยกย้ายยังได้นำผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่าตน มาดำรงตำแหน่งเดิมของตน ขณะที่ลักษณะงานในตำแหน่งที่ตนจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ใหม่นั้นมีลักษณะด้อยกว่าเดิม เพราะการปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายสัญญาและหารือ จะต้องใช้ความรู้ความสามารถการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐ แต่งานใหม่เป็นการยุติคดีทางแพ่งระงับข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานรัฐ ซึ่งเวลานี้ตนก็ปฏิบัติหน้าที่อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานการยุติดำเนินคดีทางแพ่งตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 55 ที่ให้มีผลตามมติ ก.อ. โดยตนได้ยื่นอุทธรณ์ร้องทุกข์ตามขั้นตอนของหน่วยงานแล้วแต่ไม่เป็นผล ดังนั้นจึงขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีและมีคำพิพากษาต่อไป โดยตนไม่ได้ขอให้ศาลพิจารณากำหนดมาตราคุ้มครองชั่วคราวแต่อย่างใด ขณะที่ตนไม่ได้รู้สึกกังวลว่าเมื่อมาฟ้องคดีแล้วจะมีผลกระทบต่อการทำงานหรือไม่ เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมาย ถ้าผู้บริหารหรือ ก.อ.จะคิดว่าเป็นปัญหาก็น่าจะพิจารณาว่าตนได้ใช้สิทธิเรียกร้องความเป็นธรรมตามกฎหมาย ไม่ใช่การทำผิดวินัยอะไร ซึ่งการฟ้องครั้งนี้ตนไม่ได้มีคำขอในส่วนของตนเพียงประการเดียวเพราะตนยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี ปัจจุบันอายุ 55 ปี แต่ขอให้มีการออกระเบียบเพื่อวางเกณฑ์ให้ถูกต้องด้วย