ตร.ตรวจคนเข้าเมืองบุกจับหนุ่มชาวไลบีเรีย ยึดแบงก์ดอลลาร์ปลอมจำนวนมากคาห้องพักย่านห้วยขวาง เผยพฤติกรรมจะหลอกลวงเหยื่อให้ร่วมทำธุรกิจเหมืองทองในประเทศไลบีเรีย โดยใช้แบงก์ดอลลาร์ปลอมมาโชว์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
วันนี้ (24 พ.ค.) เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.มนตรี โปตระนันทน์ รอง ผบช.สตม. พ.ต.อ.ชาติชาย เอี่ยมแสง รอง ผบก.รรท.ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชยวุฒิ จันทร์สมบูรณ์ ผกก.1 บก.สส.สตม. แถลงผลการจับกุม นายบุนเดอร์ เจอาร์ เจมส์ อดาสโค (BUNDOR JIR JAMES ADASCO) อายุ 27 ปี สัญชาติไลบีเรีย พร้อมของกลางธนบัตรปลอมสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ฉบับละ 100 ดอลลาร์ จำนวน 16 มัด กระดาษที่มีขนาดเท่ากับธนบัตรดอลลาร์ จำนวน 1 มัด กระเป๋าอะลูมิเนียม (สีขาว) จำนวน 1 ใบ เครื่องพิมพ์สียี่ห้อเอปสัน จำนวน 1 เครื่อง หนังสือเดินทางประเทศไลบีเลียปลอม จำนวน 1 เล่ม รูปภาพแสดงการทำเหมืองทองคำ จำนวน 3 ใบ โดยจับกุมได้ภายในห้องพักเลขที่ 10 บ้านเลขที่ 120/1 ซ.ประชาราษฎร์บำเพ็ญ แขวงและเขตห้วยขวาง กทม.
พล.ต.ท.วิบูลย์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีกลุ่มคนผิวดำมีพฤติกรรมเข้ามาก่ออาชญากรรม โดยใช้ธนบัตรดอลลาร์ปลอม เพื่อหลอกเหยื่อให้หลงเชื่อและร่วมลงทุนทำธุรกิจ โดยให้สายลับทำทีเข้าไปติดต่อเพื่อร่วมลงทุนกับกลุ่มคนผิวดำ แล้วให้ทราบว่าคนร้ายใช้วิธีการหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อว่าตนมีธุรกิจเกี่ยวกับการทำเหมืองทองสนใจที่จะมาทำธุรกิจในประเทศไทย โดยการนำเงินธนบัตรดอลลาร์จำนวนหลายล้าน ด้วยวิธีการส่งพัสดุมาจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย แต่ขณะนี้ตนยังไม่สามารถนำเงินทั้งหมดออกมาได้เนื่องจากตนไม่มีเงินสดไปจ่ายให้กับกรมศุลกากรของประเทศไทย จึงหลอกให้เหยื่อนำเงินมาให้ก่อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการนำเงินดังกล่าวออกมาทำธุรกิจร่วมกัน ภายหลังชุดสืบสวนทราบว่าคนร้ายดังกล่าวพักอยู่ที่ห้องเลขที่ 10 บ้านเลขที่ 120/1 ซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 55 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม.เข้าไปทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาได้พร้อมของกลางดังกล่าว
พล.ต.ท.วิบูลย์เผยต่อว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหายอมรับสารภาพว่าใช้วิธีการหลอกเหยื่อทั้งชาวไทยและต่างชาติโดยวิธีการดังกล่าวมาหลายรายแล้ว จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียหายเป็นชาวญี่ปุ่น 2 ราย และชาวไทยอีก 1 ราย ถูกผู้ต้องหารายดังกล่าวหลอกเงินไปรวมมูลค่า 1,500,000 บาท เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาในข้อหา “อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” โดยจะได้ผลักดันออกนอกราชอาณาจักรและลงชื่อในบัญชีบุคคลต้องห้ามต่อไป