ศาลสั่งเทศบาลเมืองเกาะสมุย เพิกถอนค่าภาษีโรงเรือน 4 ปี ตั้งแต่ปี 2550-2553 เป็นเงิน 117 ล้าน คืนให้ “บางกอกแอร์เวย์ส” ชี้ จำเลยนำทรัพย์สินไปลงทุน เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทางเทศบาลไม่สามารถประเมินและเรียกเก็บภาษีรายปีได้
วันนี้ (25 เม.ย.) ที่ศาลภาษีอากรกลาง ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่บริษัท บางกอกแอร์เวย์ส เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเทศบาลเมืองเกาะสมุย เป็นจำเลยฐานขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือน และให้คืนเงินภาษีที่จ่ายไปแล้ว 4 ปี กลับคืนมา โดยโจทก์ฟ้องว่า บริษัท บางกอกแอร์เวย์ส เป็นบริษัทประกอบกิจการสายการบินในประเทศ และเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 เทศบาลเมืองเกาะสมุย ได้แจ้งว่า โจทก์ต้องชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินของปี 2550-2553 รวมทั้งสิ้่น 117 ล้านบาท โดย ปี 2550 จ่ายภาษี 3.9 ล้านบาท ปี 2551 จ่ายภาษี 37 ล้านบาท ปี 2552 จ่ายภาษี 38 ล้านบาท และปี 2553 จ่ายภาษี 38 ล้านบาท เนื่องจากเทศบาลเมืองเกาะสมุย อ้างว่า โจทก์มีรายได้จากการนำสนามบินสมุย เนื้อที่ 449 ไร่เศษ ประกอบด้วย สนามบิน ลานบิน อาคารจอดเครื่องบินและที่พักผู้โดยสาร เครื่องตรวจอาวุธและอื่นๆ ไประดมเงินผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียน กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกองทุนรวมดังกล่าว ซึ่งสามารถขายหุ้นได้เงินจำนวน 9,500 ล้านบาท
ต่อมาโจทก์ คือ บริษัท บางกอกแอร์เวย์ส ได้ทำสัญญาเช่าสนามบินสมุยเป็นเวลา 30 ปี โดยได้ตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เดือนละกว่า 26 ล้านบาท ซึ่งทางเทศบาลเมืองเกาะสมุย เห็นว่า การที่โจทก์นำเอาทรัพย์สินของสนามบินสมุย ไปทำสัญญาเช่าระยะยาว กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย มีกำหนด 30 ปี และโจทก์ต้องเสียภาษีโรงเรือนปี ตั้งแต่ปี 2550 - ปี 2553 กว่า 100 ล้านบาทนั้น โจทก์ไม่เห็นด้วย เพราะสัญญาเช่าระยะยาวระหว่างโจทก์ กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นเพียงกลไกส่วนหนึ่งของการระดมเงินทุนของโจทก์ผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น มิใช่เป็นการให้เช่าทรัพย์สิน จึงไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่โจทก์นำทรัพย์สินทั้งหมดของสนามบินสมุย ไปออกหน่วยลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียน กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำเลยไม่สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคำนวณเพื่อกำหนดค่ารายปี จึงพิพากษาให้จำเลย คือ เทศบาลเมืองเกาะสมุย เพิกถอนการประเมินภาษีที่เก็บไปแล้ว 4 ปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 117 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 คืนให้กับโจทก์ต่อไป