ลูกจ้างชั่วคราว กทม.โร่เข้าแจ้งความ ป.ป.ป. ถูกนายทหารเรือยศเรือโท ร่วมกับ ตร.หญิงสังกัดสันติบาล หลอกลวงพาเข้าทหารเรือได้แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 5.5 หมื่นบาท เหยื่อหลงเชื่อจนได้เข้าไปตรวจสภาพร่างกาย-วิ่ง-ว่ายน้ำ แต่พอนัดรายงานตัวกลับบ่ายเบี่ยงอ้างอยู่ในช่วงน้ำท่วม จึงเริ่มสงสัยว่าถูกหลอกก่อนติดต่อขอเงินคืนแต่กลับอ้างเงินเข้ากองทัพไปแล้ว ก่อนรวบรวมผู้เสียหายกว่า 10 คนรวมตัวเข้าแจ้งความและดำเนินคดี
วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) กลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราว สังกัดกรุงเทพมหานคร 10 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปริญญา ปาละ พนักงานสอบสวน (สบ 2) กก.4 บก.ป.ป.ป.เพื่อแจ้งความกรณีถูกนายกล้าณรงค์ (สงวนนามสกุล) ซึ่งอ้างตัวเป็นนายทหารเรือ ยศเรือโท สังกัดกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ร่วมกับ ส.ต.ท.หญิง สังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาล และหญิงสาวอีก 1 คน หลอกลวงว่ามีการเปิดรับนายทหารเรือเหล่าสารบรรณโควต้าพิเศษเป็นการภายใน แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทำให้มีผู้หลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไปให้กว่า 70 คน ทั้งที่ไม่มีโครงการดังกล่าว เหตุเกิดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554-20 มีนาคมที่ผ่านมา
น.ส.นก (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 ทราบข่าวจากเพื่อนร่วมงานว่า มีนายทหารเรือยศเรือโท ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนให้ข้อมูลว่า ทหารเรือจะเปิดรับเข้าเป็นนายทหารสัญญาบัตรเหล่าสารบรรณ จึงสนใจติดต่อไปตามเบอร์โทรศัพท์ของนายทหารเรือผู้นี้ที่ให้ต่อๆ กันมา เมื่อได้พูดคุยเขาก็อ้างตัวเป็นเรือโทสังกัดกรมยุทธศึกษาทหารเรือ และให้ข้อมูลว่าทางต้นสังกัดกำลังเปิดรับสมัครนายทหารเรือเป็นการภายในแต่ไม่ได้ระบุว่าเปิดรับกี่อัตรา หากสนใจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นเงิน 55,000 บาท พร้อมทั้งให้ข้อมูลหน้าเฟสบุ๊คของเขาชื่อ Klanarong Recon เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และหมายเลขบัญชีธนาคารซึ่งเขาบอกว่าเป็นของแฟนสาวซึ่งเป็นตำรวจหญิงสังกัดสันติบาล
น.ส.นกกล่าวต่อว่า หลังได้ข้อมูลมาก็เข้าไปดูที่หน้าเฟซบุ๊กของเขา ก็พบว่ามีภาพชายผู้นี้ทั้งที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารเรือเต็มยศ แต่งกายด้วยชุดลายพราง รวมทั้งยังมีการโพสต์ข้อความเรื่องการเปิดรับสมัครนายทหารไว้ด้วย นอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบชื่อของตำรวจหญิงสังกัดสันติบาลที่เป็นแฟนของเขาก็พบว่ารับข้าราชการตำรวจอยู่จริงจึงหลงเชื่อจ่ายเงินค่าดำเนินการไปให้ เมื่อจ่ายเงินไปแล้วก็ได้รับเอกสารบันทึกข้อความ มีตราครุฑส่งกลับมาให้ระบุข้อความว่าเป็นบุคคลพลเรือนผู้สนับสนุนกิจการกองทัพเรือชำระเงินมาแล้ว และระบุว่าให้เก็บเอกสารนี้อย่าให้สูญหายเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นคำร้อง ลงชื่อโดย นาวาเอกนายหนึ่ง ตำแหน่งผู้บังคับการ จากเอกสารดังกล่าวยิ่งทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น
น.ส.นกกล่าวอีกว่า เมื่อจ่ายเงินไปแล้วก็ได้รับการติดต่อให้ตรวจสภาพร่างกายที่ชมรมดำน้ำตื้น กองทัพอากาศ เข้าไปว่ายน้ำ และวิ่ง จากนั้นชายคนนี้ก็นัดให้พาบิดามารดามารายงานตัวแต่ก็เลื่อนมาแล้วหลายครั้ง โดยอ้างว่าเป็นช่วงประสบภัยน้ำท่วมบ้าง รายชื่อผู้สมัครมีการแจ้งถอนบ้าง หรือถูกจับกุมคดีฉ้อโกงอยู่ที่ จ.บึงกาฬ จึงเริ่มสงสัยว่าอาจถูกหลอกจึงติดต่อเพื่อนคนอื่นๆ ก็ทราบว่าแต่ละคนเสียเงินไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ 55,000 บาท ถึง 300,000 บาท และเมื่อติดต่อขอเงินคืนนายกล้าณรงค์ก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าเงินได้เข้ากองทัพไปแล้วเอาออกมาไม่ได้จึงรวมตัวกันทวงเงินคืน
“ฉันเปิดเฟซบุ๊กดู และรวบรวมผู้เสียหายมาได้ 40 กว่าคน ก็มีการเจรจาขอให้นายกล้าณรงค์ คืนเงิน แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยง จึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับนายกล้าณรงค์ ซึ่งพบว่าชื่อนายทหารเรือที่ปรากฏในเอกสารยืนยันว่าได้รับเงินไปนั้นมีตัวตนอยู่จริง แต่นายกล้าณรงค์นั้นไม่ได้เป็นทหารเรือ แต่เป็นผู้ผ่อนผันการเป็นทหารเกณฑ์ เมื่อติดต่อไปทางตำรวจหญิงที่เป็นแฟนสาว ก็ทราบว่ามีการหมั้นกันแล้วแต่เขาอ้างว่าไม่ทราบว่าแฟนหนุ่มไม่ได้เป็นทหารเรือ” น.ส.นกกล่าว
น.ส.นกกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ตำรวจหญิงคนดังกล่าว ยังพยายามดึงผู้บังคับบัญชาตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องโดยให้มาพูดคุยว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและน่าจะถูกหลอกเหมือนกันแต่พวกตนพบหลักฐานว่าหลังจากที่เกิดเรื่องแล้วทั้งสองก็ยังติดต่อช่วยเหลือกันอยู่โดยมีความพยายามให้ตำรวจหญิงคนนี้ไปแจ้งความไว้ว่าถูกหลอกเหมือนกันเพื่อกันตัวเองออกจากการเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดี ทั้งนี้ พวกตนเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงพยายามรวบรวมผู้เสียหายทั้งหมดซึ่งคาดว่ามีประมาณ 70 กว่าคนให้มาแจ้งความแต่ปรากฏว่าสามารถรวมตัวกันได้เพียง 10 คนเท่านั้น
ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ป.ป.ได้แนะนำให้นำหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความ ที่ สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ทีเกี่ยวข้องทั้งหมดในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) กลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราว สังกัดกรุงเทพมหานคร 10 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปริญญา ปาละ พนักงานสอบสวน (สบ 2) กก.4 บก.ป.ป.ป.เพื่อแจ้งความกรณีถูกนายกล้าณรงค์ (สงวนนามสกุล) ซึ่งอ้างตัวเป็นนายทหารเรือ ยศเรือโท สังกัดกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ร่วมกับ ส.ต.ท.หญิง สังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาล และหญิงสาวอีก 1 คน หลอกลวงว่ามีการเปิดรับนายทหารเรือเหล่าสารบรรณโควต้าพิเศษเป็นการภายใน แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทำให้มีผู้หลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไปให้กว่า 70 คน ทั้งที่ไม่มีโครงการดังกล่าว เหตุเกิดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554-20 มีนาคมที่ผ่านมา
น.ส.นก (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 ทราบข่าวจากเพื่อนร่วมงานว่า มีนายทหารเรือยศเรือโท ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนให้ข้อมูลว่า ทหารเรือจะเปิดรับเข้าเป็นนายทหารสัญญาบัตรเหล่าสารบรรณ จึงสนใจติดต่อไปตามเบอร์โทรศัพท์ของนายทหารเรือผู้นี้ที่ให้ต่อๆ กันมา เมื่อได้พูดคุยเขาก็อ้างตัวเป็นเรือโทสังกัดกรมยุทธศึกษาทหารเรือ และให้ข้อมูลว่าทางต้นสังกัดกำลังเปิดรับสมัครนายทหารเรือเป็นการภายในแต่ไม่ได้ระบุว่าเปิดรับกี่อัตรา หากสนใจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นเงิน 55,000 บาท พร้อมทั้งให้ข้อมูลหน้าเฟสบุ๊คของเขาชื่อ Klanarong Recon เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และหมายเลขบัญชีธนาคารซึ่งเขาบอกว่าเป็นของแฟนสาวซึ่งเป็นตำรวจหญิงสังกัดสันติบาล
น.ส.นกกล่าวต่อว่า หลังได้ข้อมูลมาก็เข้าไปดูที่หน้าเฟซบุ๊กของเขา ก็พบว่ามีภาพชายผู้นี้ทั้งที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารเรือเต็มยศ แต่งกายด้วยชุดลายพราง รวมทั้งยังมีการโพสต์ข้อความเรื่องการเปิดรับสมัครนายทหารไว้ด้วย นอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบชื่อของตำรวจหญิงสังกัดสันติบาลที่เป็นแฟนของเขาก็พบว่ารับข้าราชการตำรวจอยู่จริงจึงหลงเชื่อจ่ายเงินค่าดำเนินการไปให้ เมื่อจ่ายเงินไปแล้วก็ได้รับเอกสารบันทึกข้อความ มีตราครุฑส่งกลับมาให้ระบุข้อความว่าเป็นบุคคลพลเรือนผู้สนับสนุนกิจการกองทัพเรือชำระเงินมาแล้ว และระบุว่าให้เก็บเอกสารนี้อย่าให้สูญหายเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นคำร้อง ลงชื่อโดย นาวาเอกนายหนึ่ง ตำแหน่งผู้บังคับการ จากเอกสารดังกล่าวยิ่งทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น
น.ส.นกกล่าวอีกว่า เมื่อจ่ายเงินไปแล้วก็ได้รับการติดต่อให้ตรวจสภาพร่างกายที่ชมรมดำน้ำตื้น กองทัพอากาศ เข้าไปว่ายน้ำ และวิ่ง จากนั้นชายคนนี้ก็นัดให้พาบิดามารดามารายงานตัวแต่ก็เลื่อนมาแล้วหลายครั้ง โดยอ้างว่าเป็นช่วงประสบภัยน้ำท่วมบ้าง รายชื่อผู้สมัครมีการแจ้งถอนบ้าง หรือถูกจับกุมคดีฉ้อโกงอยู่ที่ จ.บึงกาฬ จึงเริ่มสงสัยว่าอาจถูกหลอกจึงติดต่อเพื่อนคนอื่นๆ ก็ทราบว่าแต่ละคนเสียเงินไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ 55,000 บาท ถึง 300,000 บาท และเมื่อติดต่อขอเงินคืนนายกล้าณรงค์ก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าเงินได้เข้ากองทัพไปแล้วเอาออกมาไม่ได้จึงรวมตัวกันทวงเงินคืน
“ฉันเปิดเฟซบุ๊กดู และรวบรวมผู้เสียหายมาได้ 40 กว่าคน ก็มีการเจรจาขอให้นายกล้าณรงค์ คืนเงิน แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยง จึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับนายกล้าณรงค์ ซึ่งพบว่าชื่อนายทหารเรือที่ปรากฏในเอกสารยืนยันว่าได้รับเงินไปนั้นมีตัวตนอยู่จริง แต่นายกล้าณรงค์นั้นไม่ได้เป็นทหารเรือ แต่เป็นผู้ผ่อนผันการเป็นทหารเกณฑ์ เมื่อติดต่อไปทางตำรวจหญิงที่เป็นแฟนสาว ก็ทราบว่ามีการหมั้นกันแล้วแต่เขาอ้างว่าไม่ทราบว่าแฟนหนุ่มไม่ได้เป็นทหารเรือ” น.ส.นกกล่าว
น.ส.นกกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ตำรวจหญิงคนดังกล่าว ยังพยายามดึงผู้บังคับบัญชาตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องโดยให้มาพูดคุยว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและน่าจะถูกหลอกเหมือนกันแต่พวกตนพบหลักฐานว่าหลังจากที่เกิดเรื่องแล้วทั้งสองก็ยังติดต่อช่วยเหลือกันอยู่โดยมีความพยายามให้ตำรวจหญิงคนนี้ไปแจ้งความไว้ว่าถูกหลอกเหมือนกันเพื่อกันตัวเองออกจากการเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดี ทั้งนี้ พวกตนเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงพยายามรวบรวมผู้เสียหายทั้งหมดซึ่งคาดว่ามีประมาณ 70 กว่าคนให้มาแจ้งความแต่ปรากฏว่าสามารถรวมตัวกันได้เพียง 10 คนเท่านั้น
ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ป.ป.ได้แนะนำให้นำหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความ ที่ สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ทีเกี่ยวข้องทั้งหมดในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน