จับเพิ่ม 1 และเข้ามอบตัวอีก 2 แก๊งปล้นบ้านนักธุรกิจเสื้อผ้าย่านสายไหม โดยผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวปฏิเสธร่วมก่อเหตุ รับรถตู้คันที่ก่อเหตุเป็นของตนเองจริง แต่อ้างลูกน้องเก่าชอบนำไปใช้เป็นประจำ ซึ่งคงโมโหที่แนะให้เข้ามอบตัวจึงซัดทอด แต่ส่วนตัวไม่เคยรู้เรื่องด้วย พร้อมรวบแก๊งค้ายาฝั่งดินยึด 4 หมื่นเม็ด มูลค่ากว่า 12 ล้าน
วันนี้ (4 ก.พ.) เวลา 13.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ พล.ต.ต.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. พร้อมกำลังชุดสืบสวนของ บก.สส.บช.น., บก.สส.บช.น. 2 แถลงการจับกุมผู้ต้องหาแก๊งปล้นบ้านนักธุรกิจค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปย่านสายไหม ได้ผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย นายอริยะ หรือยุทธ ศิวะ อายุ 49 ปี หมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 83/2555 นายสมโอม หรือนพ ศิวะ อายุ 19 ปี หมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 84/2555 ลง 3 ก.พ. 55 โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้ติดต่อเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่เอง
ส่วนนายวัชระ ลาสา อายุ 40 ปี ตามหมายจับศาลมีนบุรี ที่ 77/2555 ลงวันที่ 2 ก.พ.55 สามารถตามจับกุมได้เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ จ.นครพนม ซึ่งอยู่ระหว่างนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา รัชดาฯ
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 ม.ค.55 เวลาประมาณ 06.20 น. ได้มีกลุ่มคนร้ายประมาณ 5-6 คน ขับรถตู้บุกเข้ามาปล้นทรัพย์สินภายในบ้านของ น.ส.ลำจวน มุกกะโทก อายุ 58 ปี นักธุรกิจค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่บ้านเลขที่ 1/49-50 หมู่บ้านศุภาลัย ถ.สุขาภิบาล 5 ซ.71 แขวงออเงิน เขตสายไหม กทม. โดยคนร้ายจับคนในบ้านมัดมือ เท้า และรื้อค้นทรัพย์สินไปมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท ในท้องที่ สน.สายไหม ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่สอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คนที่จับกุมได้ก่อนหน้านี้ คือ นายสุทธิศักดิ์ หรือโน้ต และนายสุรศิต หรือนัท อุ่นมั่น ได้ให้การซัดทอดมายังนายอริยะ และนายสมโอม จึงทำให้ต้องเข้ามอบตัว พร้อมทั้งปฏิเสธการมีส่วนร่วมในคดีดังกล่าว
นายอริยะเปิดเผยว่า ในช่วงเวลาประมาณ 04.00-07.00 น. รถตู้ที่นำไปก่อเหตุดังกล่าวเป็นของตน และมักจะไม่ค่อยจอดอยู่ที่บ้าน ซึ่งลูกน้องเก่าของตน 1 คนที่ก่อเหตุมักนำรถไปขับขี่เป็นประจำ แต่ไม่ทราบว่าจะนำรถไปก่อเหตุดังกล่าวขึ้น โดยคาดว่าน่าจะเป็นคนที่ขับรถ ซึ่งตนบอกให้ลูกน้องเก่าเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ จึงอาจเป็นสาเหตุให้ลูกน้องเก่าโมโหจึงซัดทอดมายังตน
เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดถูกตั้งข้อกล่าวหา “ปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อทำความผิดหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 2 รายให้การปฏิเสธและขอให้การในชั้นศาล
ต่อมาเวลา 14.30 น. พ.ต.ท.ดลชัย ปิ่นปัก สว.สส.สน.สายไหม เปิดเผยว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ได้พาตัวด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในแก๊งปล้นบ้านนักธุรกิจเสื้อผ้าย่านสายไหม โดยด.ช.เอมีหน้าที่ดูต้นทาง โดยจอดรถจักรยานยนต์หน้าหมู่บ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้ว่า ด.ช.เอพักที่ใด จึงพาตัวมาพูดคุย แต่ไม่ได้เป็นการจับกุมแต่อย่างใด เนื่องจาก ด.ช.เอยังเป็นเยาวชนอยู่ โดยเจ้าหน้าที่จะต้องเชิญสหวิชาชีพมาร่วมสอบปากคำกับทางพนักงานสอบสวนด้วย ก่อนจะนำตัวไปส่งศาลเพื่อส่งสถานพินิจต่อไป โดยกระบวนการขั้นตอนดังกล่าวน่าจะดำเนินการในวันจันทร์ที่ 6 ก.พ.นี้ ส่วนข้อหานั้นทางเจ้าหน้าที่ขอสอบปากคำด.ช.เอก่อน
ด้าน พ.ต.ท.ฟารุค มณีวงศ์ รองผกก.สส.สน.สายไหม เปิดเผยว่า เรื่องข้อหานั้นต้องให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ ด.ช.เอ ก่อน แต่เบื้องต้นไม่น่าจะถูกตั้งข้อหาร่วมกันปล้น เพราะ ด.ช.เอมีหน้าที่แค่ดูต้นทาง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุพอสมควร และไม่ได้ค่าจ้างเพียงแต่เป็นเด็กแว้นในพื้นที่และรู้จักกับกลุ่มผู้ต้องหาจึงถูกชักชวนมาเท่านั้น
รวบแก๊งค้ายาฝั่งดินยึด 4 หมื่นเม็ด
อีกคดี เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น.ดำเนินการจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดได้ผู้ต้องหา 2 ราย ประกอบด้วย นายนภา หรือไก่แจ้ พ้นภัยพาล อายุ 41 ปี และนายนันธวัช หรือต่อย สวนศรี อายุ 29 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 40,000 เม็ด ไอซ์ น้ำหนัก 100 กรัม อาวุธปืนพกสั้น แบบออโตเมติกยี่ห้อบาเร็ตต้า 1 กระบอก พร้อมกระสุน 10 นัด รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ ทะเบียน ผต-3245 ชลบุรี 1 คัน รถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต ครูซ ทะเบียน ก-0183 ระยอง 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง รวมมูลค่า 12,300,000 บาท โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณริมถนนบายพาสใหม่ใกล้กับจุดกลับรถใต้สะพาน ต.หนองข้างคอก อ.เมือง จ.ชลบุรี ต่อเนื่องบริเวณหน้าร้านขายไก่ย่าง ถนน 9 กิโล ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
พล.ต.ท.วินัยเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีการส่งมอบยาเสพติดกันที่บริเวณริมถนนบานพาสดังกล่าวจึงได้วางแผนจับกุม โดยวางกำลังซุ่มดักอยู่ ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น.นายนภาได้ขับรถกระบะของกลางมาส่งยาเสพติด จึงแสดงตัวเข้าจับกุมทันที พร้อมสารภาพว่านำยาเสพติดมาส่งแล้วใช้วิธีฝังดินไว้และให้ผู้ซื้อมาขุดเอาเอง
จากการสอบสวนขยายผลทราบว่าจะมีการส่งมอบยาเสพติดที่ริมถนนสุขุมวิท หน้าตึกคอมศรีราชา จึงได้วางแผนนำกำลังดักซุ่ม จนกระทั่งเวลา 23.00 น. พบนายนันธวัชนำยาบ้า จำนวน 20,000 เม็ด มาส่งโดยโยนไว้หน้าตึกคอมศรีราชาแล้วขับรถหนีไป เจ้าหน้าที่จึงติดตามจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าร้านไก่ย่าง 9 กิโล นายนันธวัชยังรับว่ามียาบ้าและอาวุธปืนซุกซ่อน อยู่ที่บ้านพักของตน ที่บ้านเลขที่ 17/28 ม.3 ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นบ้านพัก พบยาบ้าอีก 10,000 เม็ด และปืนพกของกลาง 1 กระบอก จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย นำส่ง บช.ปส.ดำเนินคดีต่อไป
นายนันธวัชให้การรับสารภาพว่า ได้รับว่าจ้างจากลูกพี่ใหญ่ ชื่อเป้ ซึ่งโทรศัพท์สั่งการมาจากในเรือนจำที่จ.ระยอง โดยได้รับค่าจ้างต่อครั้งประมาณ 10,000 กว่าบาท ส่วนการนัดส่งยาเสพติดจะโทรศัพท์นัดกับลูกค้าว่าจะให้นำไปส่งที่ไหนแล้วจะนำไปส่งตามที่นัดหมายกันไว้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหานายนภาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า และไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ส่วนนายนันธวัชถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย, มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
วันนี้ (4 ก.พ.) เวลา 13.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ พล.ต.ต.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. พร้อมกำลังชุดสืบสวนของ บก.สส.บช.น., บก.สส.บช.น. 2 แถลงการจับกุมผู้ต้องหาแก๊งปล้นบ้านนักธุรกิจค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปย่านสายไหม ได้ผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย นายอริยะ หรือยุทธ ศิวะ อายุ 49 ปี หมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 83/2555 นายสมโอม หรือนพ ศิวะ อายุ 19 ปี หมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 84/2555 ลง 3 ก.พ. 55 โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้ติดต่อเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่เอง
ส่วนนายวัชระ ลาสา อายุ 40 ปี ตามหมายจับศาลมีนบุรี ที่ 77/2555 ลงวันที่ 2 ก.พ.55 สามารถตามจับกุมได้เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ จ.นครพนม ซึ่งอยู่ระหว่างนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา รัชดาฯ
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 ม.ค.55 เวลาประมาณ 06.20 น. ได้มีกลุ่มคนร้ายประมาณ 5-6 คน ขับรถตู้บุกเข้ามาปล้นทรัพย์สินภายในบ้านของ น.ส.ลำจวน มุกกะโทก อายุ 58 ปี นักธุรกิจค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่บ้านเลขที่ 1/49-50 หมู่บ้านศุภาลัย ถ.สุขาภิบาล 5 ซ.71 แขวงออเงิน เขตสายไหม กทม. โดยคนร้ายจับคนในบ้านมัดมือ เท้า และรื้อค้นทรัพย์สินไปมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท ในท้องที่ สน.สายไหม ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่สอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คนที่จับกุมได้ก่อนหน้านี้ คือ นายสุทธิศักดิ์ หรือโน้ต และนายสุรศิต หรือนัท อุ่นมั่น ได้ให้การซัดทอดมายังนายอริยะ และนายสมโอม จึงทำให้ต้องเข้ามอบตัว พร้อมทั้งปฏิเสธการมีส่วนร่วมในคดีดังกล่าว
นายอริยะเปิดเผยว่า ในช่วงเวลาประมาณ 04.00-07.00 น. รถตู้ที่นำไปก่อเหตุดังกล่าวเป็นของตน และมักจะไม่ค่อยจอดอยู่ที่บ้าน ซึ่งลูกน้องเก่าของตน 1 คนที่ก่อเหตุมักนำรถไปขับขี่เป็นประจำ แต่ไม่ทราบว่าจะนำรถไปก่อเหตุดังกล่าวขึ้น โดยคาดว่าน่าจะเป็นคนที่ขับรถ ซึ่งตนบอกให้ลูกน้องเก่าเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ จึงอาจเป็นสาเหตุให้ลูกน้องเก่าโมโหจึงซัดทอดมายังตน
เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดถูกตั้งข้อกล่าวหา “ปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อทำความผิดหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 2 รายให้การปฏิเสธและขอให้การในชั้นศาล
ต่อมาเวลา 14.30 น. พ.ต.ท.ดลชัย ปิ่นปัก สว.สส.สน.สายไหม เปิดเผยว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ได้พาตัวด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในแก๊งปล้นบ้านนักธุรกิจเสื้อผ้าย่านสายไหม โดยด.ช.เอมีหน้าที่ดูต้นทาง โดยจอดรถจักรยานยนต์หน้าหมู่บ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้ว่า ด.ช.เอพักที่ใด จึงพาตัวมาพูดคุย แต่ไม่ได้เป็นการจับกุมแต่อย่างใด เนื่องจาก ด.ช.เอยังเป็นเยาวชนอยู่ โดยเจ้าหน้าที่จะต้องเชิญสหวิชาชีพมาร่วมสอบปากคำกับทางพนักงานสอบสวนด้วย ก่อนจะนำตัวไปส่งศาลเพื่อส่งสถานพินิจต่อไป โดยกระบวนการขั้นตอนดังกล่าวน่าจะดำเนินการในวันจันทร์ที่ 6 ก.พ.นี้ ส่วนข้อหานั้นทางเจ้าหน้าที่ขอสอบปากคำด.ช.เอก่อน
ด้าน พ.ต.ท.ฟารุค มณีวงศ์ รองผกก.สส.สน.สายไหม เปิดเผยว่า เรื่องข้อหานั้นต้องให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ ด.ช.เอ ก่อน แต่เบื้องต้นไม่น่าจะถูกตั้งข้อหาร่วมกันปล้น เพราะ ด.ช.เอมีหน้าที่แค่ดูต้นทาง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุพอสมควร และไม่ได้ค่าจ้างเพียงแต่เป็นเด็กแว้นในพื้นที่และรู้จักกับกลุ่มผู้ต้องหาจึงถูกชักชวนมาเท่านั้น
รวบแก๊งค้ายาฝั่งดินยึด 4 หมื่นเม็ด
อีกคดี เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น.ดำเนินการจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดได้ผู้ต้องหา 2 ราย ประกอบด้วย นายนภา หรือไก่แจ้ พ้นภัยพาล อายุ 41 ปี และนายนันธวัช หรือต่อย สวนศรี อายุ 29 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 40,000 เม็ด ไอซ์ น้ำหนัก 100 กรัม อาวุธปืนพกสั้น แบบออโตเมติกยี่ห้อบาเร็ตต้า 1 กระบอก พร้อมกระสุน 10 นัด รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ ทะเบียน ผต-3245 ชลบุรี 1 คัน รถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต ครูซ ทะเบียน ก-0183 ระยอง 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง รวมมูลค่า 12,300,000 บาท โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณริมถนนบายพาสใหม่ใกล้กับจุดกลับรถใต้สะพาน ต.หนองข้างคอก อ.เมือง จ.ชลบุรี ต่อเนื่องบริเวณหน้าร้านขายไก่ย่าง ถนน 9 กิโล ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
พล.ต.ท.วินัยเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีการส่งมอบยาเสพติดกันที่บริเวณริมถนนบานพาสดังกล่าวจึงได้วางแผนจับกุม โดยวางกำลังซุ่มดักอยู่ ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น.นายนภาได้ขับรถกระบะของกลางมาส่งยาเสพติด จึงแสดงตัวเข้าจับกุมทันที พร้อมสารภาพว่านำยาเสพติดมาส่งแล้วใช้วิธีฝังดินไว้และให้ผู้ซื้อมาขุดเอาเอง
จากการสอบสวนขยายผลทราบว่าจะมีการส่งมอบยาเสพติดที่ริมถนนสุขุมวิท หน้าตึกคอมศรีราชา จึงได้วางแผนนำกำลังดักซุ่ม จนกระทั่งเวลา 23.00 น. พบนายนันธวัชนำยาบ้า จำนวน 20,000 เม็ด มาส่งโดยโยนไว้หน้าตึกคอมศรีราชาแล้วขับรถหนีไป เจ้าหน้าที่จึงติดตามจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าร้านไก่ย่าง 9 กิโล นายนันธวัชยังรับว่ามียาบ้าและอาวุธปืนซุกซ่อน อยู่ที่บ้านพักของตน ที่บ้านเลขที่ 17/28 ม.3 ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นบ้านพัก พบยาบ้าอีก 10,000 เม็ด และปืนพกของกลาง 1 กระบอก จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย นำส่ง บช.ปส.ดำเนินคดีต่อไป
นายนันธวัชให้การรับสารภาพว่า ได้รับว่าจ้างจากลูกพี่ใหญ่ ชื่อเป้ ซึ่งโทรศัพท์สั่งการมาจากในเรือนจำที่จ.ระยอง โดยได้รับค่าจ้างต่อครั้งประมาณ 10,000 กว่าบาท ส่วนการนัดส่งยาเสพติดจะโทรศัพท์นัดกับลูกค้าว่าจะให้นำไปส่งที่ไหนแล้วจะนำไปส่งตามที่นัดหมายกันไว้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหานายนภาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า และไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ส่วนนายนันธวัชถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย, มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต