นครบาลล่อซื้อยาบ้าแล้วตะครุบ 3 หนุ่มพม่า ยึดของกลาง 4 พันเม็ด สารภาพสั่งยาจากชาวพม่าที่อยู่ในเรือนจำเชียงรายแล้วนำส่งลูกค้า หากยาล็อตนี้ขายในท้องตลาดจะได้มากถึง 1.2 ล้านบาท อีกรายรวบ 2 หนุ่มเลือดร้อนยิงเจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำเสียชีวิตแล้วหนีไปบวช แต่ไม่รอดถูกควบคุมตัวดำเนินคดี อีกรายรวบหนึ่งในแก๊งลักทรัพย์ในตู้เซฟคอนโดฯ หรู โดยใช้วิธีตีสนิทกับแม่บ้านแล้วนำกุญแจห้องของผู้เสียหายไปปั๊มเพื่อให้พรรคพวกเข้าไปขโมยของภายในห้อง
วันนี้ (22 ธ.ค.) เวลา 11.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร และพล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ รอง ผบช.น. แถลงการจับกุมผู้ต้องหาชาวพม่า ในคดีร่วมกันจำหน่ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ได้ผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายตั้ม สัญชาติพม่า อายุ 21 ปี นายต๋อง สัญชาติพม่า อายุ 23 ปี และนายชาย สัญชาติพม่า อายุ 39 ปี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 4,000 เม็ด เงินล่อซื้อจำนวน 350,000 บาท โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง จับกุมตัวได้ที่บริเวณห้างบิ๊กซี สาขาพระประแดง ถ.สุขสวัสดิ์ ต.บางผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
พล.ต.ต.สาโรจน์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ กก.สายตรวจ บก.สปพ.บช.น. ได้สืบสวนจนทราบว่ามีชาวพม่าลักลอบจำหน่ายยาบ้ารายใหญ่เครือข่ายสั่งยาบ้าจากเรือนจำจังหวัดเชียงราย มักนำมาจำหน่ายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงได้ใช้สายลับทำการล่อซื้อยาบ้า จำนวน 4,000 เม็ด ในราคา 350,000 บาท และนัดส่งมอบกันที่บริเวณห้างบิ๊กซี สาขาพระประแดง ถ.สุขสวัสดิ์ ต.บางผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เมื่อถึงเวลานัดหมายผู้ต้องหานำยาบ้ามาส่ง เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุมได้ผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมยาบ้าจำนวน 4,000 เม็ด ซึ่งผู้ต้องหาได้นำยาบ้าใส่ไว้ในพื้นรองเท้าแตะยี่ห้อแอ็ดด้า เพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้สั่งยาบ้ามาจากชาวพม่าชื่อนายกิลี หรือโกดิ่ง ซึ่งอยู่ในเรือนจำจังหวัดเชียงราย โดยที่นายตั้มและนายต๋องจะเป็นคนหาลูกค้า หลังจากนั้นนายชายจะเป็นคนนำยาบ้ามาส่งให้และทำมาหลายครั้งแล้ว นายชายจะได้ค่าจ้างครั้งนี้ 20,000 บาท ส่วนนายตั้มและนายต๋องจะได้เงินจำนวน 50,000 บาทนำมาแบ่งกัน และจะทำการโอนกลับให้เจ้าของยาบ้า 280,000 บาท โดยยาบ้าดังกล่าวหากนำไปจำหน่ายในท้องตลาดจะมีมูลค่ากว่า 1,200,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และจะทำการสอบสวนขยายผลต่อไป
อีกคดี พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ลาดกระบัง พ.ต.อ.ถนอมศักดิ์ ยศแผ่น ผกก.สภ.แม่สาย และพ.ต.ท.ธนานนท์ ยุทธนา สวป.สภ.แม่สาย ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่น ได้ผู้ต้องหา 2 ราย ประกอบด้วย นายอนุรักษ์ ใจกล้า อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 214 ซ.เทวรัตน์ แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ นายจำเนียร ศิริรจน์ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 ม.4 ต.ตรมไพร อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ พร้อมของกลางอาวุธปืนขนาด 11 มม.จำนวน 1 กระบอก จับกุมผู้ต้องหาทั้งสองได้ที่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ พฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุ นายณรงค์ศักดิ์ เปลี่ยนสี ได้ขับรถยนต์เก๋ง ทะเบียน ชท-9687 กทม.จอดอยู่บนถนนลาดกระบัง หน้าร้านอาหารเรือนริมน้ำ แล้วได้เข้าไปในร้านเรือนริมน้ำ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2553 เวลาประมาณ 19.15 น. และนายอนุรักษ์ ใจกล้า ขับรถยนต์เก๋งแวน ทะเบียน ฎห-4236 กทม. ซึ่งมีนายจำเนียร ศิริรจน์ นั่งโดยสารคู่กับคนขับ จนขับเฉี่ยวชนถูกด้านท้ายรถยนต์เก๋งของนายณรงค์ศักดิ์ ทำให้รถเก๋งคันที่ถูกชนได้รับความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์ดังกล่าว นายณรงค์ ชัยนิยม ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำ ได้ออกมาดูเหตุการณ์ที่รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนท้ายกัน จนกระทั่งมีปากเสียงกับนายอนุรักษ์และนายจำเนียร ซึ่งได้หยิบอาวุธปืนพกขนาด 11 มม.ออกมาจากรถและร่วมกันชกต่อยเจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำ จากนั้นนายจำเนียรได้ใช้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวตีที่ใบหน้าและศีรษะของเจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำจนได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันได้มีผู้มาห้ามไว้ก่อน ต่อมานายอนุรักษ์ได้ใช้อาวุธปืนขนาด 11 มม.ลั่นไกยิงถูกนายณรงค์ เจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำ กระสุนเข้าที่บริเวณลำตัวจนเสียชีวิต หลังเกิดเหตุนายอนุรักษ์ และนายจำเนียร ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้หลบหนีไป
หลังจากนั้น ฝ่ายสืบสวน สน.ลาดกระบังได้สืบทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.นนทบุรี และไปบวชที่สำนักสงฆ์ไม่ทราบชื่อที่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี และอ.แม่สาย จ.เชียงราย แล้วข้ามฝั่งไปอยู่ที่ประเทศพม่า จึงได้ประสานกับทางการพม่าโดยผ่านสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย สภ.แม่สาย และตำรวจพม่า จนสามารถจับกุมตัวได้
นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และรู้จักกันในเรือนจำ โดยได้รู้จักกับนายโจ๊ก ไผ่เขียว ซึ่งเมื่อออกจากเรือนจำมาแล้วได้มีการติดต่อกัน ซึ่งยังมีส่วนพัวพันกับกลุ่มที่เสพและค้าเฮโรอีนด้วย อีกทั้งยังมีพฤติกรรมชอบใช้อาวุธปืนเป็นอย่างดี ซึ่งได้ไปฝึกซ้อมยิงปืนที่สนามยิงปืนย่าน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อยู่บ่อยครั้ง
จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาฐานความผิดฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนยิง มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และนำตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส่วนรายสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี จับกุมผู้ต้องหาร่วมกันลักทรัพย์ คือ นายรชรถ หรือแมน สุขเบื้องต้น อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ573/2554 ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือรับของโจร พร้อมของกลางสร้อยคอทองคำ แหวนเพชร พระเครื่อง และอาวุธปืน 3 กระบอก โดยจับกุมตัวได้ที่บ้านเลขที่ 33/530 ซอยโชคชัย 4 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.
พล.ต.ต.สาโรจน์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2554 นางอิสรีย์ โอฬารไพศาลกุล อายุ 50 ปี ได้เดินทางเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ว่าถูกคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ภายในคอนโดรีโนว่า แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน บนชั้น 15 โดยคนร้ายได้ขโมยทรัพย์สินมีค่าจากในตู้เซฟไปทั้งหมด มูลค่า 10 ล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า วันที่ 1 ก.ย. นายพงศ์พันธ์ หรือตุ่ม แสนสวาท ได้เข้ามาในอาคารและขึ้นไปบนชั้น 15 เวลา 04.17 น.และเดินออกไปเวลา 04.45 โดยมีกระเป๋าถือติดมือไปด้วย
พล.ต.ต.สาโรจน์กล่าวอีกว่า ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวนายพงศ์พันธ์มาสอบปากคำ นายพงศ์พันธ์ให้การว่า นายสุชาติ สุขเบื้องต้น เป็นคนพาไปที่คอนโดฯ ดังกล่าว บอกว่าจะให้ไปช่วยขนของ พร้อมกับให้กุญแจห้องไขเข้าไป โดยบอกว่าให้เข้าไปเอางาช้าที่อยู่ในห้องพระและกระเป๋าเดินทางซึ่งอยู่ในตู้ไม้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายพงศ์พันธ์ไปฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ก่อนจะออกหมายจับนายสุชาติ และตามจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา พร้อมของกลางจำนวนหนึ่ง
“นายสุชาติให้การรับสารภาพว่า ได้กุญแจห้องของผู้เสียหายมาจากแม่บ้านซึ่งคบหากัน จากนั้นก็นำกุญแจไปปั๊มและให้นายพงศ์พันธ์เข้าไปลักทรัพย์ภายในห้อง เมื่อได้ทรัพย์สินมาก็ให้นายรชรถ หรือแมน สุขเบื้องต้น ซึ่งเป็นน้องชาย นำไปขาย เจ้าหน้าที่จึงออกหมายจับนายรชรถ กระทั่งติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาทำกันเป็นขบวนการ ผู้ที่รับของโจรก็ถือว่ามีความผิด ทั้งนี้ยังมีของกลางอีกหลายรายการที่ผู้ต้องหานำไปขาย หากใครที่รับซื้อไว้และมีเจตนาดีให้นำมาคืน จะได้ไม่มีความผิด” พล.ต.ต.สาโรจน์กล่าว
ด้าน นางอิสรีย์ ผู้เสียหายกล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความที่ตนไว้วางใจคนใกล้ชิดที่สุด คือ นายสุชาติ ซึ่งเป็นคนขับรถ โดยเริ่มจากคนขับรถที่จ้างมาขับประจำ ซึ่งได้เข้ามาทำทีตีสนิทกับแม่บ้านที่ดูแลคอนโดฯ อยู่ จากนั้นได้เสียกันแล้วแอบเอากุญแจคอนโดฯ ไปปั๊ม และพาช่างตู้เซฟมาเปิดเซฟในห้องพักเอาของมีค่าไปทั้งหมดแล้วนำไปขาย ซึ่งคนรับซื้อไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นของใครเพียงแต่รับซื้อไว้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม อยากได้ของคืนมากกว่า เพราะบางอย่างเป็นของของเราและบางอย่างไม่ใช่ของของเรา โดยมีคนเอามาฝากไว้หลายรายเพราะเห็นว่าเรามีตู้เซฟ
“ความจริงแล้วคอนโดฯ ที่พักอาศัยอยู่นี้มีระบบความปลอดภัยที่ดีมาก มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชม.อย่างเข้มงวด เหตุที่เกิดเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ไว้ใจคนใกล้ตัวมากเกินไป และอยากได้ของคืนเพราะยังขาดปืนอีก 19 กระบอก เป็นปืนของคนที่มาเช่าคอนโดฯ อยู่นำมาฝากไว้ เพราะเขาเป็นคนชอบสะสมปืนอยู่แล้ว และยังมีเครื่องเพชรและทองอีกจำนวนมาก ปกติดิฉันทำธุรกิจให้เช่าคอนโดฯ มีจำนวน 70 ยูนิต ฉะนั้นใครจะมาเช่าก็ได้ ในชีวิตยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ อยู่ดีๆ มีคนมาเปิดเซฟของเราเองถึงในคอนโดฯ ที่ 15 เพนท์เฮ้าท์ย่านสุขุมวิท ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย เขาฉลาดมาก คงคิดมาล่วงหน้าแล้วว่าต้องเข้าทางแม่บ้านไว้ก่อนแล้วเอากุญแจไปเปิดห้องนอนพี่ได้ อยากเตือนว่าให้ระวังแม่บ้านและคนขับรถให้ดีๆ สมัยนี้ไว้วางใจไม่ค่อยได้” นางอิสรีย์กล่าว
วันนี้ (22 ธ.ค.) เวลา 11.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร และพล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ รอง ผบช.น. แถลงการจับกุมผู้ต้องหาชาวพม่า ในคดีร่วมกันจำหน่ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ได้ผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายตั้ม สัญชาติพม่า อายุ 21 ปี นายต๋อง สัญชาติพม่า อายุ 23 ปี และนายชาย สัญชาติพม่า อายุ 39 ปี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 4,000 เม็ด เงินล่อซื้อจำนวน 350,000 บาท โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง จับกุมตัวได้ที่บริเวณห้างบิ๊กซี สาขาพระประแดง ถ.สุขสวัสดิ์ ต.บางผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
พล.ต.ต.สาโรจน์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ กก.สายตรวจ บก.สปพ.บช.น. ได้สืบสวนจนทราบว่ามีชาวพม่าลักลอบจำหน่ายยาบ้ารายใหญ่เครือข่ายสั่งยาบ้าจากเรือนจำจังหวัดเชียงราย มักนำมาจำหน่ายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงได้ใช้สายลับทำการล่อซื้อยาบ้า จำนวน 4,000 เม็ด ในราคา 350,000 บาท และนัดส่งมอบกันที่บริเวณห้างบิ๊กซี สาขาพระประแดง ถ.สุขสวัสดิ์ ต.บางผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เมื่อถึงเวลานัดหมายผู้ต้องหานำยาบ้ามาส่ง เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุมได้ผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมยาบ้าจำนวน 4,000 เม็ด ซึ่งผู้ต้องหาได้นำยาบ้าใส่ไว้ในพื้นรองเท้าแตะยี่ห้อแอ็ดด้า เพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้สั่งยาบ้ามาจากชาวพม่าชื่อนายกิลี หรือโกดิ่ง ซึ่งอยู่ในเรือนจำจังหวัดเชียงราย โดยที่นายตั้มและนายต๋องจะเป็นคนหาลูกค้า หลังจากนั้นนายชายจะเป็นคนนำยาบ้ามาส่งให้และทำมาหลายครั้งแล้ว นายชายจะได้ค่าจ้างครั้งนี้ 20,000 บาท ส่วนนายตั้มและนายต๋องจะได้เงินจำนวน 50,000 บาทนำมาแบ่งกัน และจะทำการโอนกลับให้เจ้าของยาบ้า 280,000 บาท โดยยาบ้าดังกล่าวหากนำไปจำหน่ายในท้องตลาดจะมีมูลค่ากว่า 1,200,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และจะทำการสอบสวนขยายผลต่อไป
อีกคดี พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ลาดกระบัง พ.ต.อ.ถนอมศักดิ์ ยศแผ่น ผกก.สภ.แม่สาย และพ.ต.ท.ธนานนท์ ยุทธนา สวป.สภ.แม่สาย ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่น ได้ผู้ต้องหา 2 ราย ประกอบด้วย นายอนุรักษ์ ใจกล้า อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 214 ซ.เทวรัตน์ แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ นายจำเนียร ศิริรจน์ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 ม.4 ต.ตรมไพร อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ พร้อมของกลางอาวุธปืนขนาด 11 มม.จำนวน 1 กระบอก จับกุมผู้ต้องหาทั้งสองได้ที่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ พฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุ นายณรงค์ศักดิ์ เปลี่ยนสี ได้ขับรถยนต์เก๋ง ทะเบียน ชท-9687 กทม.จอดอยู่บนถนนลาดกระบัง หน้าร้านอาหารเรือนริมน้ำ แล้วได้เข้าไปในร้านเรือนริมน้ำ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2553 เวลาประมาณ 19.15 น. และนายอนุรักษ์ ใจกล้า ขับรถยนต์เก๋งแวน ทะเบียน ฎห-4236 กทม. ซึ่งมีนายจำเนียร ศิริรจน์ นั่งโดยสารคู่กับคนขับ จนขับเฉี่ยวชนถูกด้านท้ายรถยนต์เก๋งของนายณรงค์ศักดิ์ ทำให้รถเก๋งคันที่ถูกชนได้รับความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์ดังกล่าว นายณรงค์ ชัยนิยม ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำ ได้ออกมาดูเหตุการณ์ที่รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนท้ายกัน จนกระทั่งมีปากเสียงกับนายอนุรักษ์และนายจำเนียร ซึ่งได้หยิบอาวุธปืนพกขนาด 11 มม.ออกมาจากรถและร่วมกันชกต่อยเจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำ จากนั้นนายจำเนียรได้ใช้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวตีที่ใบหน้าและศีรษะของเจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำจนได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันได้มีผู้มาห้ามไว้ก่อน ต่อมานายอนุรักษ์ได้ใช้อาวุธปืนขนาด 11 มม.ลั่นไกยิงถูกนายณรงค์ เจ้าของร้านอาหารเรือนริมน้ำ กระสุนเข้าที่บริเวณลำตัวจนเสียชีวิต หลังเกิดเหตุนายอนุรักษ์ และนายจำเนียร ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้หลบหนีไป
หลังจากนั้น ฝ่ายสืบสวน สน.ลาดกระบังได้สืบทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.นนทบุรี และไปบวชที่สำนักสงฆ์ไม่ทราบชื่อที่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี และอ.แม่สาย จ.เชียงราย แล้วข้ามฝั่งไปอยู่ที่ประเทศพม่า จึงได้ประสานกับทางการพม่าโดยผ่านสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย สภ.แม่สาย และตำรวจพม่า จนสามารถจับกุมตัวได้
นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และรู้จักกันในเรือนจำ โดยได้รู้จักกับนายโจ๊ก ไผ่เขียว ซึ่งเมื่อออกจากเรือนจำมาแล้วได้มีการติดต่อกัน ซึ่งยังมีส่วนพัวพันกับกลุ่มที่เสพและค้าเฮโรอีนด้วย อีกทั้งยังมีพฤติกรรมชอบใช้อาวุธปืนเป็นอย่างดี ซึ่งได้ไปฝึกซ้อมยิงปืนที่สนามยิงปืนย่าน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อยู่บ่อยครั้ง
จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาฐานความผิดฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนยิง มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และนำตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส่วนรายสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี จับกุมผู้ต้องหาร่วมกันลักทรัพย์ คือ นายรชรถ หรือแมน สุขเบื้องต้น อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ573/2554 ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือรับของโจร พร้อมของกลางสร้อยคอทองคำ แหวนเพชร พระเครื่อง และอาวุธปืน 3 กระบอก โดยจับกุมตัวได้ที่บ้านเลขที่ 33/530 ซอยโชคชัย 4 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.
พล.ต.ต.สาโรจน์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2554 นางอิสรีย์ โอฬารไพศาลกุล อายุ 50 ปี ได้เดินทางเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ว่าถูกคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ภายในคอนโดรีโนว่า แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน บนชั้น 15 โดยคนร้ายได้ขโมยทรัพย์สินมีค่าจากในตู้เซฟไปทั้งหมด มูลค่า 10 ล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า วันที่ 1 ก.ย. นายพงศ์พันธ์ หรือตุ่ม แสนสวาท ได้เข้ามาในอาคารและขึ้นไปบนชั้น 15 เวลา 04.17 น.และเดินออกไปเวลา 04.45 โดยมีกระเป๋าถือติดมือไปด้วย
พล.ต.ต.สาโรจน์กล่าวอีกว่า ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวนายพงศ์พันธ์มาสอบปากคำ นายพงศ์พันธ์ให้การว่า นายสุชาติ สุขเบื้องต้น เป็นคนพาไปที่คอนโดฯ ดังกล่าว บอกว่าจะให้ไปช่วยขนของ พร้อมกับให้กุญแจห้องไขเข้าไป โดยบอกว่าให้เข้าไปเอางาช้าที่อยู่ในห้องพระและกระเป๋าเดินทางซึ่งอยู่ในตู้ไม้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายพงศ์พันธ์ไปฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ก่อนจะออกหมายจับนายสุชาติ และตามจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา พร้อมของกลางจำนวนหนึ่ง
“นายสุชาติให้การรับสารภาพว่า ได้กุญแจห้องของผู้เสียหายมาจากแม่บ้านซึ่งคบหากัน จากนั้นก็นำกุญแจไปปั๊มและให้นายพงศ์พันธ์เข้าไปลักทรัพย์ภายในห้อง เมื่อได้ทรัพย์สินมาก็ให้นายรชรถ หรือแมน สุขเบื้องต้น ซึ่งเป็นน้องชาย นำไปขาย เจ้าหน้าที่จึงออกหมายจับนายรชรถ กระทั่งติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาทำกันเป็นขบวนการ ผู้ที่รับของโจรก็ถือว่ามีความผิด ทั้งนี้ยังมีของกลางอีกหลายรายการที่ผู้ต้องหานำไปขาย หากใครที่รับซื้อไว้และมีเจตนาดีให้นำมาคืน จะได้ไม่มีความผิด” พล.ต.ต.สาโรจน์กล่าว
ด้าน นางอิสรีย์ ผู้เสียหายกล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความที่ตนไว้วางใจคนใกล้ชิดที่สุด คือ นายสุชาติ ซึ่งเป็นคนขับรถ โดยเริ่มจากคนขับรถที่จ้างมาขับประจำ ซึ่งได้เข้ามาทำทีตีสนิทกับแม่บ้านที่ดูแลคอนโดฯ อยู่ จากนั้นได้เสียกันแล้วแอบเอากุญแจคอนโดฯ ไปปั๊ม และพาช่างตู้เซฟมาเปิดเซฟในห้องพักเอาของมีค่าไปทั้งหมดแล้วนำไปขาย ซึ่งคนรับซื้อไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นของใครเพียงแต่รับซื้อไว้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม อยากได้ของคืนมากกว่า เพราะบางอย่างเป็นของของเราและบางอย่างไม่ใช่ของของเรา โดยมีคนเอามาฝากไว้หลายรายเพราะเห็นว่าเรามีตู้เซฟ
“ความจริงแล้วคอนโดฯ ที่พักอาศัยอยู่นี้มีระบบความปลอดภัยที่ดีมาก มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชม.อย่างเข้มงวด เหตุที่เกิดเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ไว้ใจคนใกล้ตัวมากเกินไป และอยากได้ของคืนเพราะยังขาดปืนอีก 19 กระบอก เป็นปืนของคนที่มาเช่าคอนโดฯ อยู่นำมาฝากไว้ เพราะเขาเป็นคนชอบสะสมปืนอยู่แล้ว และยังมีเครื่องเพชรและทองอีกจำนวนมาก ปกติดิฉันทำธุรกิจให้เช่าคอนโดฯ มีจำนวน 70 ยูนิต ฉะนั้นใครจะมาเช่าก็ได้ ในชีวิตยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ อยู่ดีๆ มีคนมาเปิดเซฟของเราเองถึงในคอนโดฯ ที่ 15 เพนท์เฮ้าท์ย่านสุขุมวิท ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย เขาฉลาดมาก คงคิดมาล่วงหน้าแล้วว่าต้องเข้าทางแม่บ้านไว้ก่อนแล้วเอากุญแจไปเปิดห้องนอนพี่ได้ อยากเตือนว่าให้ระวังแม่บ้านและคนขับรถให้ดีๆ สมัยนี้ไว้วางใจไม่ค่อยได้” นางอิสรีย์กล่าว