“ธาริต” เผย ดีเอสไอพร้อมเสนอ 6 คดี รวมทั้ง “บุกทลายโอเกะสุไหงโก-ลก-ลอบตัดไม้พะยูง” ต่อ กคพ.ขอมติเป็นคดีพิเศษ ชี้ ขณะนี้มีอำนาจสอบสวนคดีทั้งสิ้น 36 ประเภทโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องรอเสนอที่ประชุม กคพ.รับเป็นคดีพิเศษ ย้ำดีเอสไอมีขอบข่ายความรับผิดชอบในคดีต่างๆ เพิ่มขึ้นแต่ไม่ซ้ำซ้อนกับ สตช. เนื่องจากจะเข้าไปทำคดีที่มีความสลับซับซ้อนทำเป็นเครือข่าย ขบวนการ หรือผู้มีอิทธิพล
วันนี้ (21 ธ.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มี นายเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 28 ธ.ค.ที่จะถึง ว่า ดีเอสไอจะเสนอคดีเข้าสู่การพิจารณาขอมติเป็นคดีพิเศษ ประกอบด้วย คดีที่ดีเอสไอบุกทลายร้านคาราโอเกะ กักขัง และบังคับหญิงชาวลาว 41 คน ค้าประเวณี ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ส่วนใหญ่ถูกล่อลวงให้ค้าประเวณีและบางคนมีอายุต่ำกว่า 18 ปี มีลักษณะการกระทำผิดกันเป็นขบวนการ จึงเข้าข่ายความผิดฐานค้ามนุษย์, คดียาเสพติดรายสำคัญ 3 คดี ในเหนือและภาคใต้, คดีปลอมหนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงินที่มีการใช้ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างเทศบาลเมืองพัทยา, คดีลักลอบตัดไม้พะยูงในจังหวัดอีสานตอนบน, คดีบุกรุกที่ราชพัสดุ ใน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี และคดีเหมืองแร่เถื่อน ใน จ.เลย นอกจากนี้ จะรายงานที่ประชุมหลัง ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมอีก จำนวน 9 คดีความผิด ตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ประกอบด้วย 1.คดีว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2.คดีว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 3.คดีว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 4.คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่ 5.คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน 6.คดีความผิดว่าด้วยเครื่องสำอาง 7.คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย 8.คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา 9.คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ดีเอสไอมีอำนาจการสอบสวนคดีทั้งสิ้น 36 ประเภทโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอเสนอให้ที่ประชุม กคพ.รับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งการเพิ่มเติมคดีความผิดว่าด้วยเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีที่มีลักษณะของการกระทำความผิดที่ซับซ้อน มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือระบบเศรษฐกิจ หรือการคลังของประเทศ โดยคดีความผิดทางอาญาที่มีลักษณะเป็นการกระทำความผิดข้ามชาติที่สำคัญ หรือเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม หรือมีผู้ทรงอิทธิพลที่สำคัญเป็นตัวการหรือสนับสนุน หรือเป็นการกระทำที่มีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ต้องสงสัย หรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ เพื่อที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งต้องรอประกาศเป็นกฎกระทรวงในเร็วๆ นี้
“จะส่งผลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีขอบข่ายความรับผิดชอบในคดีต่างๆ เพิ่มมากขึ้นแต่จะไม่ซ้ำซ้อนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะดีเอสไอจะเข้าไปทำคดีที่มีความสลับซับซ้อน ทำเป็นเครือข่าย ขบวนการ ผู้มีอิทธิพล หรือ การรวบรวมพยานหลักฐานทำได้ยาก ส่วนคดีปกติธรรมดาก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งเราได้เตรียมความพร้อมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร การฝึกอบรมบุคลากรไว้ เพื่อรับมือกับอาชญากรรมดังกล่าวแล้ว” นายธาริต กล่าว
