พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต อดีต รองสว.สน.ชนะสงคราม ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ขณะควงปืนจี้ชิงทอง 15 ล้านบาท ภายในร้านทองแม่สุพร 2 ราชวิถี แถมพยายามฆ่า ตร.เฝ้าร้านทอง สุดท้ายต่อสู้จนถูกรวบตัวไว้ได้ ศาลสั่งชดใช้เงินร่วม 2 แสน ให้เพื่อนตำรวจถูกยิงบาดเจ็บ รับสารภาพลดโทษเหลือจำคุก 26 ปี
วันนี้ (5 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.50 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.2241/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้อง ร.ต.อ.ชัยธัช แจ่มเมือง อดีต รองสว.อก.สน.ชนะสงคราม อายุ 40 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกกระทำผิดพยายามชิงทรัพย์ โดยมีและใช้อาวุธปืนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดประมวลกฎมายอาญา มาตรา 289, 339, 340, 371, 376 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 โดย ส.ต.ต.กิติพัฒน์ บวรเจริญภิรมย์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จากที่ถูกจำเลยยิงจนได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 3 เดือน เป็นเงินทั้งสิ้น 363,351 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีด้วย
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.54 เวลาประมาณ 18.00 น.จำเลยได้พกอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38 special ตราโล่ 1610 เลขหมายประจำปืน 478766 กระสุนปืน รีวอลเวอร์ ขนาด .38 special จำนวน 9 นัด ติดตัวไป บริเวณปากซอยราชวิถี 6 โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาต แล้วพยายามชิงทรัพย์ในร้านค้าทองคำ “แม่สุพร 2” ของ นายเกษม เสถียรไชยกิจ ผู้เสียหายที่ 1 มูลค่า 15 ล้านบาท โดยได้ใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนยิงประทุษร้าย ส.ต.ต.กิติพัฒน์ บวรเจริญภิรมย์ ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งดูแลความปลอดภัย อยู่ที่ร้านทองของผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผล แต่กระสุนปืนได้ลั่นถูกบริเวณหน้าท้องผู้เสียหายที่ 2 จนได้รับอันตรายสาหัส เหตุเกิดที่แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว เห็นว่า โจทก์มีนายเกษม เสถียรไชยกิจ ผู้เสียหายที่ 1 และ ส.ต.ต.กิติพัฒน์ บวรเจริญภิรมย์ ผู้เสียหายที่ 2 ประจักษ์พยาน เบิกความทำนองเดียวกันว่า นายเกษม ผู้เสียหายที่ 1 ประกอบกิจการร้านทอง ในวันเกิดเหตุมีทองคำมูลค่า 15 ล้านบาท ภายในร้าน โดย ส.ต.ต.กิติพัฒน์ ผู้เสียหายที่ 2 ได้ปฏิบัติหน้าที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยที่ร้านทองดังกล่าวในเวลานอกราชการ และเมื่อวันที่ 4 มี.ค.54 เวลา 18.00 น.มีลูกค้าต่างชาติกับพวก เดินเข้ามาซื้อทองในร้าน ระหว่างนั้นจำเลยซึ่งสวมแจ๊กเก็ตสีเข้ม หมวกนิรภัยสีขาว และกระเป๋าสะพายสีดำเดินเข้ามาในร้าน แล้วชักอาวุธปืนจ่อที่ศีรษะ ส.ต.ต.กิติพัฒน์ ผู้เสียหายที่ 2 ที่นั่งรักษาความปลอดภัยด้านหลังประตูทางเข้าด้านขวา ซึ่ง ส.ต.ต.กิติพัฒน์ ผู้เสียหายที่ 2 ได้ปัดป้องอาวุธปืนจนกระสุนปืนลั่นยิงถูกบริเวณหน้าท้อง ส.ต.ต.กิติพัฒน์ ผู้เสียหายที่ 2 ขณะนั้นลูกค้าชาวต่างชาติได้เข้ามาช่วยเหลือจนดันจำเลยออกนอกร้าน แล้วผู้ขับขี่มอเตอร์รับจ้างที่อยู่บริเวณนั้นยังเข้ามาช่วยล็อกตัวจำเลยไว้ ก่อนที่พ่อค้าหน้าร้านค้าคว้าเก้าอี้พลาสติกมาตีจำเลย เพื่อไม่ให้หลบหนีด้วย นอกจากนี้ โจทก์ยังมีพนักงานสอบสวน สน.พญาไท พยานเบิกความว่าได้ยึดรถจักรยานยนต์ของจำเลย อาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุมาตรวจพิสูจน์ พบว่ากระสุนปืนไม่ตรงกับอาวุธปืนของจำเลยที่อนุญาตให้พกพา แต่อาวุธปืนนั้นจำเลยได้เบิกจาก สน.ชนะสงคราม มาใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คำเบิกความประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองปาก สอดคล้องกันในสาระสำคัญ อีกทั้งพยานไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่า เบิกความไปตามข้อเท็จจริงและการปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่แม้จะปรากฏว่าขณะเกิดเหตุ ส.ต.ต.กิติพัฒน์ ผู้เสียหายที่ 2 จะไม่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่เมื่อเป็นเจ้าพนักงานสวมเครื่องแบบ ก็มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยโดยตลอดตามกฎหมาย การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวกกระทำผิดพยายามชิงทรัพย์โดยมี และใช้อาวุธปืนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
จึงพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นบทหนักสุด และจำคุก 2 ปี ที่กระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ จำเลยรับสารภาพ เห็นควรให้ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน เป็นเวลา 25 ปี และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ จำคุก 1 ปี รวมจำคุกจำเลยไว้ทั้งสิ้น 26 ปี และเห็นควรให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหม ส.ต.ต.กิติพัฒน์ ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 184,551 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันถัดฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จด้วย