ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมแห่งความสามัคคีกับพวก เผยแพร่ลัทธิเกาหลี “มูนลิซึ่ม” ศาลชี้พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อว่าสอนสมาชิกไม่เคารพพ่อแม่
วันนี้ (1 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 906 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นพ.เล็ก ทวีเติมสกุล ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมแห่งความสามัคคี หรือลัทธิมูนนิซึ่มกับพวก ซึ่งเป็นสมาชิกรวม 8 คน จำเลยในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ อั้งยี่ ซ่องโจร ฉ้อโกง
คดีโจทก์ฟ้องสรุปว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งได้ศึกษาและมีความเลื่อมใสในลัทธิมูนลิซึ่มในประเทศเกาหลี มีแนวคิด 3 ประการ คือ คนอุดมคติ ครอบครัวอุดมคติ และเหนือสรรพสิ่ง โดยจะนำคนอุดมคติมาสมรสกันเป็นครอบครัวอุดมคติ จึงได้จัดตั้งมูลนิธิวัฒนธรรมแห่งความสามัคคี เผยแพร่ลัทธิ โดยการให้สมาชิกชักชวนด้วยวาจา และแจกแผ่นปลิวโฆษณาให้เข้าร่วมโดยเรียกเก็บค่าสมาชิก 40 บาทต่อคนต่อปี การกระทำของจำเลยทั้ง 8 คนมีเจตนาที่จะให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระเดื่องในหมู่ประชาชน โดยวิธีประกาศ โฆษณา แจกจ่ายเอกสาร เผยแพร่สิ่งตีพิมพ์ ชักชวนด้วยวาจาแก่ประชาชน
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2546 ให้ยกฟ้อง โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่า การกระทำของจำเลยทั้งแปดเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2547 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 8 ได้ร่วมกันสอนให้สมาชิกกระด้างกระเดื่องไม่เคารพเชื่อฟังบิดามารดา โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและวัยรุ่นเข้าร่วมทำกิจกรรมในมูลนิธิฯ ซึ่งมี หลายด้าน จนลืมหน้าที่การศึกษาเล่าเรียน ประกอบกับอาจถูกบังคับให้เลิกติดต่อกับเพื่อนสมาชิก จึงเป็นพฤติกรรมส่วนตัว การกระทำของจำเลยทั้งแปดจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้ยกฟ้อง
ภายหลัง นพ.เล็กกล่าวว่า คดีนี้เกิดขึ้นในสมัยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อ 21 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเหมือนตราบาปติดตัว ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งที่การก่อตั้งมูลนิธิฯมุ่งเน้นทำงานส่งเสริมความรัก ความสามัคคีของสถาบันครอบครัว ชุมชน และสังคม เพื่อให้เกิดสันติสุข รู้สึกดีใจที่คำพิพากษาทั้งสามออกมาเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพวกตนและมูลนิธิฯ ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับความผิดเรื่องความมั่นคง อั้งยี่ ซ่องโจร ฉ้อโกง เพราะทำงานในเรื่องส่งเสริมการศึกษา ยกระดับมาตรฐานด้านศีลธรรม จริยธรรม และความสามัคคีของคนในชาติ เพื่อสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองใดๆ