ศาลจังหวัดพระโขนงยกฟ้อง 3 นปช.ครอบครองอาวุธสงคราม ปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถเหตุพยานหลักฐานโจทก์ไร้น้ำหนัก แม้จะมีพยานอ้างว่า เห็นทั้งสามใช้อาวุธสงครามยิงใส่เฮลิคอปเตอร์ของเจ้าหน้าที่ในระหว่างการชุมนุมของ นปช. แต่ไม่มีหลักฐานครอบครองปืนและเครื่องกระสุนตามฟ้อง
วันนี้ (25 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 22 ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.2702/2553 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางนฤมล หรือจ๋า วรุณรุ่งโรจน์ นายสุรชัย หรือปลา นิลโสภา และนายชาตรี หรือหมู ศรีจินดา ทั้ง 3 เป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และเป็น จำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานปลอมเอกสาร และใช้เอกสารราชการปลอม และความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 55, 72, 78 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 265, 268
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 53 เวลากลางวัน ขณะที่เกิดการปะทะกันระหว่างแนวร่วม นปช. กับเจ้าหน้าที่รัฐ จำเลยทั้งสามร่วมกันครอบครองอาวุธปืนกลเล็ก (เอเค 47) จำนวน 5 กระบอก ปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก ปืนคาร์บายน์ จำนวน 1 กระบอก ซองกระสุนปืน จำนวน 17 อัน ลูกระเบิดขว้างชนิดสังหาร จำนวน 8 ลูก ลูกระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 4 นัด ระเบิดแก๊สน้ำตาจำนวน 3 ลูก พร้อมเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ระเบิดแสวงเครื่องประกอบเอง จำนวน 10 ลูก ขวดเครื่องดื่มชูกำลังบรรจุน้ำมันเบนซินประกอบเป็นระเบิดเพลิง จำนวน 102 ขวด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบทะเบียนไว้ในครอบครองได้ นอกจากนี้ ในวันที่ 10 เม.ย. 53 จำเลยที่ 2 ได้ปลอมและใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม ซึ่งเจ้าหน้าที่จับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมของกลางที่บ้านเลขที่ 231 ซอยอ่อนนุช 17 แยก 3 แขวงและเขตสวนหลวง กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดฐานครองครองอาวุธปืนตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานชุดจับกุมจะปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพบของกลางในบ้านที่เกิดเหตุก็ตาม แต่กลับไปปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงดังกล่าวรายงานกลับไปยังกองอำนวยการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน อีกทั้งหมายคำสั่งค้นก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่ายึดสิ่งของใด นอกจากนี้ ขณะตรวจค้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอ้างว่ามีการถ่ายภาพปืนกลเล็กที่นำไปซ่อนไว้ในถุงกอล์ฟที่ตรวจพบจากท่อระบายน้ำนั้นไว้กว่า 20 ภาพ แต่กลับไม่มีภาพดังกล่าวส่งให้แก่พนักงานสอบสวน อีกทั้งไม่มีถุงกอล์ฟ หรือถุงดำ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในพยานของกลาง จึงเป็นเหตุให้สงสัยว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ไม่นำส่งหลักฐานดังกล่าวให้พนักงานสอบสวน อันเป็นข้อพิรุธถึงการสอบสวนของพยานโจทก์ แม้ว่าจะมีพยานอ้างว่าเห็นจำเลยทั้งสามใช้อาวุธสงครามยิงใส่เฮลิคอปเตอร์ของเจ้าหน้าที่ในระหว่างการชุมนุมของ นปช. นั้น แต่กลับไม่มีหลักฐานว่าจำเลยทั้งสามครอบครองปืนและเครื่องกระสุนตามฟ้องอีกทั้งจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธมาตลอด จึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยในประเด็นนี้แก่จำเลยทั้งสาม
คดีมีประเด็นต้องวินิฉัยอีกประการว่า จำเลยที่ 2 ปลอมและใช้เอกสาราชการปลอมหรือไม่ เห็นว่าในทางนำสืบโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานว่า จำเลยที่ 2 ทำการปลอมทะเบียนรถและใช้รถคันดังกล่าว จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิด
อย่างไรก็ดี คดีนี้หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษามีความเห็นแย้งว่า เนื่องจากในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 รับเป็นเจ้าของประทัดขนาดใหญ่ ขณะที่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นผู้ติดแผ่นทะเบียนรถปลอม แต่เนื่องจากความเห็นของผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย เป็นผลร้ายแก่จำเลย จึงต้องยอมตามผู้พิพากษาเสียงข้างมากจึงขอถือไว้เป็นความเห็นแย้ง โดยพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสามแต่ให้ขังจำเลยทั้งสามไว้ในระหว่างอุทธรณ์