ตำรวจจับกุมแก๊งงัดตู้เติมเงินโทรศัพท์ออนไลน์ได้ หลังจากพบพิรุธ 3 ผู้ต้องหาชายหญิงเดินออกจากตู้เติมเงินแล้วซิ่งรถ จยย.หนี ทว่า โชคไม่เข้าข้าง ช่วงทิ้งโค้งรถล้มคว่ำคะมำ เงินเหรียญกระจายเต็มท้องถนน
วันนี้ (11 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่กองบัญชาการนครบาล พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร รองผบช.น.แถลงการจับกุม นายประพันธ์ ศรศิลป์ อายุ 34 ปี น.ส.พรประกาย หิรัญยพิสุทธิกุล อายุ 23 ปี และ นายกิตติศักดิ์ คงถนอมพรรณ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาแก๊งงัดตู้เงินโทรศัพท์ออนไลน์ พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 10,900 บาท, กล่องเก็บเงินของตู้เงินออนไลน์ จำนวน 1 กล่อง, สว่านไฟฟ้า 1 ตัว, เหล็กสกัด 1 อัน, รถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ จีทีโอ ทะเบียน ปกย 706 กรุงเทพมหานคร และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า แดส ทะเบียน นธน 211 กรุงเทพมหานคร โดยตั้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกันคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ ตั้งแต่สองคนขึ้นไป
พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวว่า เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา กองกำกับการสายตรวจ 191 ได้รับร้องเรียนจากบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด ว่า ประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา มีคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ เป็นพาหนะตระเวนงัดตู้เติมเงินแบบออนไลน์ทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 51 ตู้ เพื่อลักเอาเงินสดในตู้ มูลค่าความเสียหายกว่า 2.8 ล้านบาท
พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าชุดจับกุมได้ออกตรวจมาถึงบริเวณที่หน้าสำนักงานเขตบางกอกใหญ่ แขวงและเขตบางกอกใหญ่ พบชายและหญิงต้องสงสัยเดินออกมาจากตู้เติมเงินโทรศัพท์แบบออนไลน์ โดยสังเกตเห็นผู้หญิงสะพายกระเป๋า และภายในมืออุ้มกล่องสี่เหลี่ยม ขึ้นรถจักรยานยนต์ ชุดสอบสวนจึงส่งสัญญาณให้หยุด แต่ปรากฏว่า ชายและหญิงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีย้อนเส้นทางรถไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงบริเวณหน้าสำนักงานเขตบางกอกใหญ่ ซึ่งเป็นทางโค้ง ทำให้รถเสียหลักล้มลง เป็นเหตุให้กล่องที่หญิงอุ้มมาตกลงบนท้องถนนน ทำให้เงินที่บรรจุอยู่กระจายเต็มท้องถนน เจ้าหน้าที่จึงรีบจับกุม
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เพิ่งไปงัดตู้เติมเงินออนไลน์ โดยจะงัดเดือนละ 2-3 ตู้ ส่วนเงินที่ได้มาจะเอาไปซื้อยามาเสพ และซื้อของใช้จ่าย และยังตระเวนลักทรัพย์ในย่านฝั่งธนบุรีเป็นหลัก ในท้องที่ สน.เพชรเกษม สน.ท่าพระ สน.บางเสาธง สน.หลักสอง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ได้รับความเสียหายอีกเป็นจำนวนมากในพื้นที่
นอกจากนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 3 รายนี้ มีรูปพรรณตรงตามหมายจับที่ศาลได้ออกหมายจับไว้ บุคคลเดียวกันกับที่ศาลออกหมายจับตามรูปพรรณตำหนิไว้
วันนี้ (11 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่กองบัญชาการนครบาล พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร รองผบช.น.แถลงการจับกุม นายประพันธ์ ศรศิลป์ อายุ 34 ปี น.ส.พรประกาย หิรัญยพิสุทธิกุล อายุ 23 ปี และ นายกิตติศักดิ์ คงถนอมพรรณ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาแก๊งงัดตู้เงินโทรศัพท์ออนไลน์ พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 10,900 บาท, กล่องเก็บเงินของตู้เงินออนไลน์ จำนวน 1 กล่อง, สว่านไฟฟ้า 1 ตัว, เหล็กสกัด 1 อัน, รถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ จีทีโอ ทะเบียน ปกย 706 กรุงเทพมหานคร และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า แดส ทะเบียน นธน 211 กรุงเทพมหานคร โดยตั้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกันคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ ตั้งแต่สองคนขึ้นไป
พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวว่า เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา กองกำกับการสายตรวจ 191 ได้รับร้องเรียนจากบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด ว่า ประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา มีคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ เป็นพาหนะตระเวนงัดตู้เติมเงินแบบออนไลน์ทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 51 ตู้ เพื่อลักเอาเงินสดในตู้ มูลค่าความเสียหายกว่า 2.8 ล้านบาท
พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าชุดจับกุมได้ออกตรวจมาถึงบริเวณที่หน้าสำนักงานเขตบางกอกใหญ่ แขวงและเขตบางกอกใหญ่ พบชายและหญิงต้องสงสัยเดินออกมาจากตู้เติมเงินโทรศัพท์แบบออนไลน์ โดยสังเกตเห็นผู้หญิงสะพายกระเป๋า และภายในมืออุ้มกล่องสี่เหลี่ยม ขึ้นรถจักรยานยนต์ ชุดสอบสวนจึงส่งสัญญาณให้หยุด แต่ปรากฏว่า ชายและหญิงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีย้อนเส้นทางรถไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงบริเวณหน้าสำนักงานเขตบางกอกใหญ่ ซึ่งเป็นทางโค้ง ทำให้รถเสียหลักล้มลง เป็นเหตุให้กล่องที่หญิงอุ้มมาตกลงบนท้องถนนน ทำให้เงินที่บรรจุอยู่กระจายเต็มท้องถนน เจ้าหน้าที่จึงรีบจับกุม
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เพิ่งไปงัดตู้เติมเงินออนไลน์ โดยจะงัดเดือนละ 2-3 ตู้ ส่วนเงินที่ได้มาจะเอาไปซื้อยามาเสพ และซื้อของใช้จ่าย และยังตระเวนลักทรัพย์ในย่านฝั่งธนบุรีเป็นหลัก ในท้องที่ สน.เพชรเกษม สน.ท่าพระ สน.บางเสาธง สน.หลักสอง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ได้รับความเสียหายอีกเป็นจำนวนมากในพื้นที่
นอกจากนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 3 รายนี้ มีรูปพรรณตรงตามหมายจับที่ศาลได้ออกหมายจับไว้ บุคคลเดียวกันกับที่ศาลออกหมายจับตามรูปพรรณตำหนิไว้
