รวบแม่เล้าชาวอุซเบกิสถาน หลอกลวงสาวบ้านเดียวกันค้าประเวณีเมืองท่องเที่ยวไทย อ้างจะพามาทำงานร้านอาหาร ได้ค่าจ้างงาม 1.5 หมื่นบาท ถ้าใครขัดขืนจะโดนทำร้าย และถูกกักขัง โดยผู้ร่วมขบวนการอีก 2 ราย เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามจับกุมมาดำเนินคดี ส่วนจะมีคนไทยร่วมแก๊งหรือไม่อยู่ระหว่างการสอบสวน
วันนี้ (4 ส.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พ.ต.อ.สุวิชญ์พล อิ่มใจรัชต์ รองผบก.ปคม. พ.ต.อ.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผกก.2 บก.ปคม. พร้อมด้วย นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แถลงการจับกุม นางคามิลลา โซยิโรวา อายุ 37 ปี สัญชาติอุซเบกิสถาน ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 801/2554 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 ข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณี เพื่อสนองความใคร่ผู้อื่นร่วมเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งหญิงเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด โดยจับกุมได้ที่ห้องพักเลขที่ 707 อาคารบอสส์แมนชั่น ตั้งอยู่เลขที่ 3789 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม.
พ.ต.อ.สุวิชญ์พล กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากผู้ต้องหาได้ร่วมกับพวก หลอกลวงผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงสาวชาวอุซเบกิสถาน โดยอ้างว่าจะพามาทำงานร้านอาหารในประเทศไทย มีค่าตอบแทนเดือนละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทย 15,000 บาท แต่ภายหลังเดินทางมาแล้วกลับถูกยึดหนังสือเดินทาง และบังคับให้ขายบริการทางเพศ หากรายใดไม่ยินยอมก็จะถูกทำร้ายร่างกาย และกักขังตัวไว้ ซึ่งเหตุเกิดที่ถนนวอล์คกิ้งสตรีท โรงแรม และอพาร์ตเมนต์ ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 - วันที่ 17 พฤษภาคม 2554 ต่อเนื่อง จากนั้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ชุดสืบสวน กก.2 บก.ปคม.ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ ได้เข้ากวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ดังกล่าว โดยสามารถจับกุม นางเฟรูซา หนึ่งในผู้ต้องหาไว้ได้ที่ อาคารจอมเทียนพลาซ่า อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และเข้าช่วยเหลือหญิงสาวผู้เสียหายไว้ได้ 11 คน
พ.ต.อ.สุวิชญ์พล กล่าวต่อว่า หลังจากผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่ บก.ปคม.ทางพนักงานสอบสวน จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานก่อนขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่ร่วมกระทำความผิดที่เหลือ 3 ราย กระทั่งสามารถติดตามจับกุมนางคามิลล่า ไว้ได้ที่ห้องพักดังกล่าว
ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ประสานเจ้าหน้าที่สถานทูตอุซเบกิสถาน เพื่อร่วมพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ต้องหา โดยในส่วนของการติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลืออีก 2 ราย นั้น ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่สืบหาเบาะแสอย่างใกล้ชิดแล้ว ส่วนจะมีคนไทย หรือผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่นอีกหรือไม่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน
วันนี้ (4 ส.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พ.ต.อ.สุวิชญ์พล อิ่มใจรัชต์ รองผบก.ปคม. พ.ต.อ.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผกก.2 บก.ปคม. พร้อมด้วย นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แถลงการจับกุม นางคามิลลา โซยิโรวา อายุ 37 ปี สัญชาติอุซเบกิสถาน ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 801/2554 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 ข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณี เพื่อสนองความใคร่ผู้อื่นร่วมเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งหญิงเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด โดยจับกุมได้ที่ห้องพักเลขที่ 707 อาคารบอสส์แมนชั่น ตั้งอยู่เลขที่ 3789 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม.
พ.ต.อ.สุวิชญ์พล กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากผู้ต้องหาได้ร่วมกับพวก หลอกลวงผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงสาวชาวอุซเบกิสถาน โดยอ้างว่าจะพามาทำงานร้านอาหารในประเทศไทย มีค่าตอบแทนเดือนละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทย 15,000 บาท แต่ภายหลังเดินทางมาแล้วกลับถูกยึดหนังสือเดินทาง และบังคับให้ขายบริการทางเพศ หากรายใดไม่ยินยอมก็จะถูกทำร้ายร่างกาย และกักขังตัวไว้ ซึ่งเหตุเกิดที่ถนนวอล์คกิ้งสตรีท โรงแรม และอพาร์ตเมนต์ ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 - วันที่ 17 พฤษภาคม 2554 ต่อเนื่อง จากนั้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ชุดสืบสวน กก.2 บก.ปคม.ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ ได้เข้ากวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ดังกล่าว โดยสามารถจับกุม นางเฟรูซา หนึ่งในผู้ต้องหาไว้ได้ที่ อาคารจอมเทียนพลาซ่า อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และเข้าช่วยเหลือหญิงสาวผู้เสียหายไว้ได้ 11 คน
พ.ต.อ.สุวิชญ์พล กล่าวต่อว่า หลังจากผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่ บก.ปคม.ทางพนักงานสอบสวน จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานก่อนขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่ร่วมกระทำความผิดที่เหลือ 3 ราย กระทั่งสามารถติดตามจับกุมนางคามิลล่า ไว้ได้ที่ห้องพักดังกล่าว
ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ประสานเจ้าหน้าที่สถานทูตอุซเบกิสถาน เพื่อร่วมพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ต้องหา โดยในส่วนของการติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลืออีก 2 ราย นั้น ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่สืบหาเบาะแสอย่างใกล้ชิดแล้ว ส่วนจะมีคนไทย หรือผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่นอีกหรือไม่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน