“แม่หมอมุก” แถลงข่าวยันติดใจผลการสอบสวนของตำรวจหลังไม่มีความชัดเจนเรื่องเส้นทางการหลบหนีของรถคันก่อเหตุ ทั้งยังดำเนินคดีต่อ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น เพียงคนเดียวโดยไม่แจ้งข้อหากับคนอื่นที่ร่วมอยู่ในรถ
วันนี้ (28 ก.ค.) เมื่อเวลา 18.15 น. ที่หอผู้ป่วยศัลยกรรมพิเศษ 14/2 ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา มารดาของ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือหมอมุก แพทย์ประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พร้อมด้วยนายสุรชัย เดชอัศวนง ทนายความ ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับข้อข้องใจในการทำคดีของหมอมุกว่าสิ่งที่ตนยังข้อใจอยู่นั้นมีด้วยกัน 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ รถคันที่ก่อเหตุ ตามที่พนักงานสอบสวนระบุว่าคนขับใช้เส้นทางถนนเศรษฐศิริ เข้าถนนอำนวยสงคราม และไปสิ้นสุดที่ถนนเขียวไข่กา แล้วหลังจากนั้นก็ตามไม่ได้ ซึ่งตนก็ได้ขอความกรุณาต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตอนให้การที่ สน.พญาไท ว่าขอให้ติดตามว่ารถคันก่อเหตุขับไปสิ้นสุดที่ใดกันแน่ แต่จนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ได้คำตอบว่าจะให้ข้อมูลเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่
พญ.พรรณกรกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่ 2 ก็คือ ตามที่พนักงานสอบสวนระบุว่า รถคันก่อเหตุนั้นมีคนนั่งอยู่ในรถด้วยกัน 4 คน คือ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ภรรยา ลูกสาว และเพื่อนลูกสาว ซึ่งจากการสอบสวนนั้นเชื่อว่าเพื่อนลูกสาวเป็นคนเขียนด่าหมอมุกด้วยถ้อยคำหยาบคายไว้ที่ข้างรถ ซึ่งตลอดเวลาทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังจากนั้นก็หลบหนีไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น ทั้ง 3 คนที่เหลือก็ควรจะมีส่วนรับผิดชอบถูกแจ้งข้อกล่าวหาด้วยไม่ใช่คนขับรถแค่คนเดียว
พญ.พรรณกรกล่าวด้วยว่า ภาพของหมอมุกที่เผยแพร่ออกไปนั้นเป็นภาพที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่วันนี้จะให้สื่อมวลชนดูกะโหลกข้างซ้ายที่เสียไปเกือบทั้งหมด ทำให้ต้องเดินลำบาก แขนขาข้างขวายังอ่อนแรงและขาข้างขวายังบวมอยู่ ต้องแต่ตอนนี้หมอมุกก็ช่วยเหลือตัวเองได้พอสมควรคือรับประทานอาหารเองได้ เดินเข้าห้องน้ำได้ ขับถ่ายเองได้ แต่สิ่งที่หนักใจก็คือ หมอมุกยังพูดไม่ได้มากนัก เวลาที่ตนพูดกับลูกสาวเขาก็เข้าใจ แต่เวลาที่ลูกสาวจะพูดอะไรบางครั้งก็ยังเรียกไม่ถูก เวลาเซ็นชื่อยังพอเซ็นได้ แต่เขียนมากยังไม่ได้ อ่านหนังสือก็ยังไม่ครบ เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาว่า ลูกสาวจะทำงานได้มากแค่ไหน ส่วนเรื่องรายละเอียดเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายนั้น ยังไม่มีใครมาติดต่อหรือสอบถามตน และตนก็ไม่ได้ไปถามใครด้วย
ด้าน นายสุรชัย กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวพยายามฆ่าต่อ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ว่าข้อหาพยายามฆ่ายังน้อยไปนิด เพราะมีเรื่องของหลักฐานด้วย ซึ่งตนคิดว่าพนักงานสอบสวนยังพูดไม่หมด เพราะเวลาส่งฟ้องนั้นยังมีรายละเอียดของการกระทำความผิดอีกด้วยซึ่งทางฝ่ายตนไม่ติดใจเรื่องของกองพิสูจน์หลักฐาน แต่ยังมีบางเรื่องที่แม่หมอมุกยังติดใจอยู่ คือ 95 เปอร์เซ็นต์ทางฝ่ายตนยอมรับได้ แต่อีก 5 เปอร์เซ็นต์ยังยอมรับไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้แม่หมอมุกก็ได้แจ้งกับพนักงานสอบสวนไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แม่หมอมุกยังติดใจเรื่องที่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนขับรถ หรือจะมีการเปลี่ยนตัวคนขับหรือไม่นั้น นายสุรชัยกล่าวว่า ยังไม่ได้พูดแบบนั้น เรื่องการเปลี่ยนตัวคนขับก็ยังไม่ทราบ เป็นเรื่องที่ฝ่ายตนยังติดตามกันอยู่ แต่ก็คงจะเร็วๆ นี้ที่ทางพนักงานสอบสวนจะติดต่อมาตามที่คุณแม่หมอมุกร้องขอไป
ต่อข้อถามที่ว่ามีความเห็นอย่างไร หลังจากมีคำสั่งให้ พ.ต.ท.โชติ สุวรรณจุณีย์ รอง ผกก.สส.สน.พญาไท ให้มาปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่ บก.น.1 เป็นเวลา 30 วันเนื่องจากผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ในคดีหมอมุก นายสุรชัยกล่าวว่า ทางฝ่ายตนยังไม่ทราบว่าเป็นเพราะเรื่องอะไรขอไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องภายในของทางตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายานว่า หลังจากนั้น พญ.พรรณกรได้พาหมอมุกออกจากห้องพักมาพบสื่อมวลชน โดยนำภาพของหมอมุกตอนก่อนเกิดอุบัติเหตุให้สื่อมวลชน ก่อนจะเปิดหมวกไหมพรมของหมอมุกออกให้สื่อมวลชนเห็นภาพกะโหลกศีรษะที่ยุบไป และสภาพขาที่ยังบวมอยู่ พร้อมบอกว่า เมื่อเช้าหมอมุกบอกว่าอยากเจอพี่เบิร์ด โดยตัวหมอมุกเองก็ยังอยู่ในสภาพที่ยิ้มแย้มแจ่มใสไหว้ทักทายสื่อมวลชน