เกือบสี่ทุ่มของคืนวันที่ 27 ธ.ค. 2553 เกิดโศกนาฏกรรมจากอุบัติเหตุเป็นที่น่าสลดใจ เมื่อรถตู้โดยสารวิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถูกเชี่ยวชนบนทางด่วนโทลล์เวย์ ฝั่งขาเข้าช่วงด้านหน้าสำนักงานปรมาณู และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ทำให้รถตู้กระเด็นตกลงมาอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิตด้านล่าง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 8 ราย บาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 7 ราย ซึ่งถัดมาอีก 3 วัน มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย รวมผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมอุบัติเหตุครั้งนั้น 9 ราย
ภายหลังจากที่ข่าวโศกนาฏกรรมดังกล่าวถูกแพร่กระจายออกไปตามสื่อต่างๆ ในวันรุ่งขึ้น สังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และเว็บบอร์ดของเว็บไซด์ต่างๆ ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงโศกนาฏกรรมในครั้งนี้อย่างเผ็ดร้อน โดยเฉพาะในประเด็นที่ภาพถ่ายของหญิงสาวร่างอรชร ยืนทอดน่องพิงพนักกันขอบทางด่วนโทลล์เวย์ วางกระเป๋าหรูสีขาวไว้ที่พื้นถนน ในมือคล้ายกดหาตัวอักษรบนโทรศัพท์มือถือ อยู่หน้ารถฮอนด้าซีวิค สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ที่ด้านหน้าพังยับเยิน ซึ่งหญิงสาวร่างอรชรดังกล่าว ทราบภายหลังชื่อ น.ส.อรชร หรือชื่อเล่น แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ขับขี่รถยนต์ฮอนด้าซีวิคคันดังกล่าว!
ผู้เสียชีวิตทั้ง 9 คนประกอบด้วย ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง นักวิทยาศาสตร์ประจำ สวทช. นายภิญโญ จินันทุยา ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหารจัดการเทคโนโลยีและสารสนเทศ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายปรัชญา คันธา นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายอุกฤษฎ์ รัตนโฉมศรี นักวิจัยไบโอเทค น.ส.สุดาวดี นิลวรรณ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นางนฤมล ปิตาทานัง คนขับรถตู้ นายเกียรติมันต์ รอดอารีย์ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ น.ส.ตรอง สุดธนกิจ และน.ส.จันจิรา ซิมกระโทก นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
น.ส.แพรวา ถูกสังคมก่นด่าและประณามอย่างหนักต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยที่หลายฝ่ายลงความเห็นว่าเธอคือ “ต้นเหตุ” ในขณะเดียวกัน คดีความถูกดำเนินไปตามขั้นตอน แม้จะถือว่า “ช้า” แต่ตำรวจในฐานะพนักงานสอบสวนก็ระบุว่า เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการของกฏหมาย จนในที่สุดเมื่อวันพุธที่ 22 มิถุนายน 2554 พนักงานอัยการที่มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกลับไปสอบเพิ่มเติมหลายครั้ง ได้มีคำสั่งส่งฟ้อง น.ส.แพรวา ใน 2 ข้อหา ประกอบด้วย ข้อหาขับรถประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และโทรศัพท์ขณะขับรถ
ในคำฟ้องของพนักงานอัยการสรุปว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2553 เวลากลางคืน จำเลยขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าซีวิค หมายเลขทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ขึ้นบนทางยกระดับโทลล์เวย์ มุ่งหน้าถนนดินแดง ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยได้กระทำประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะปกติจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ โดยจำเลยไม่ขับรถในช่องทางซ้าย เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขน ช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปลี่ยนช่องทางจากช่องขวาสุดมาช่องทางซ้ายถัดมา และยังเปลี่ยนกลับไปยังช่องทางขวาอีก เป็นเหตุให้รถยนต์ซีวิคของจำเลยพุ่งเข้าชนรถยนต์ตู้โดยสารทะเบียน 13-7795 กรุงเทพฯ วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่มีนางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เป็นคนขับ ทำให้รถยนต์ตู้เสียหลักหมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์พลิกคว่ำพังเสียหาย คนขับรถตู้โดยสารและผู้โดยสารภายในรถยนต์ตู้ กระเด็นออกจากตัวรถตกจากทางด่วนเสียชีวิตรวม 9 คน และบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ส่วนรถยนต์ของจำเลยแฉลบเลยจากรถยนต์ตู้ประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด
คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของขั้นศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในขณะที่ “เธอ” ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพมูลค่า 1 แสนบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลได้อนุญาตตามคำร้องขอ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความระทมทุกข์ให้แก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายของบรรดาญาติผู้สูญเสีย รวมทั้งฝ่ายของ น.ส.แพรวา โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ ดูเหมือนจะระทมทุกข์หนักกว่าใคร
นางลัดดาวัลย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แม่ของ น.ส.แพรวา บอกเมื่อตอนหลังเกิดเหตุไม่นานว่า ฝากกราบขอโทษทุกๆ คน ทุกๆ ครอบครัวที่สูญเสียและบาดเจ็บ เราไม่หลบไปไหนแน่ แต่ขอให้กระแสของอารมณ์ในสังคมคลี่คลายลงกว่านี้ก่อน ขณะนี้ครอบครัวทุกข์มาก ไม่มีใครได้นอนหลับเลยตั้งแต่เกิดเหตุ ช็อกและเสียใจอยู่แล้ว ที่ลูกสาวไปทำให้เกิดอุบัติเหตุมีคนตายถึง 8 คน มีคนเอาเบอร์โทรศัพท์ของเราไปลงในเฟซบุ๊ก เอารูปแพรวาไปลง มีโทรศัพท์ด่าทอเข้ามาตลอดทั้งคืน
“ดิฉันกับสามีต้องกราบขอโทษจริงๆ เราต้องย้ายแพรวาออกจาก รพ.วิภาวดี ไปอีก รพ.หนึ่ง และไปอีกที่หนึ่ง ตอนนี้อยู่ รพ.ที่ 3 แล้วเพราะมีการขู่ทำร้ายร่างกายและขู่ฆ่า ทั้งจากโทรศัพท์และจากช่องทางอื่น รวมถึงบุกเข้าไปในห้องพัก ซึ่งเราเข้าใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ ทาง รพ.ก็ขอให้เราย้ายออกไปด้วย ไม่ใช่เราตัดสินใจฝ่ายเดียว แต่ตอนนี้ลูกพักรักษาตัวในที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้หนีไปต่างประเทศ เราหนีคดีได้ แต่เราหนีความผิดไม่ได้หรอกค่ะ” นางลัดดาวัลย์กล่าว
ขอพักอารมณ์กับคดีของ น.ส.แพรวาไว้ชั่วครู่ก่อน โดยจะขอย้อนกลับไปยังคดี “รถชน” ที่เพิ่งเกิดขึ้น และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมในทุกระดับ ไม่น้อยไปกว่าคดีของ น.ส.แพรวาเช่นกัน!
คดีที่ว่า เกิดขึ้นมาเป็นเวลากว่า 9 วันแล้ว จึงถูกนำมาเปิดเผย โดยบรรดาญาติและเพื่อนของพ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ หมอมุก แพทย์ประจำคลินิกผู้สูงอายุ รพ.พระมงกุฎเกล้า ติดต่อร้องเรียนไปยังสื่อโทรทัศน์ช่อง 3 หลังจากที่หมอมุก ยังไม่ได้สติและอยู่ในห้องไอซียูมาถึง 9 วันเต็ม และหลังคดีความถูกเปิดเผย ในวันรุ่งขึ้น ทุกฝ่ายทั้งตำรวจ และทหารจึงกระตือรือล้น ที่จะสะสางคดีที่ว่านี้
คดีนี้ถูกแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. เวลา 10.40 น. กับร.ต.ท.สุขประเสริฐ หลักกอง พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.พญาไท โดยพ.ญ.พรรณกร อิ่มวิทยา อายุ 70 ปี มารดาของหมอมุกให้การไว้ว่า ในวันเกิดเหตุ กลับบ้านที่เสาวรสคลินิก ถ.เศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท หมอมุกขับรถโตโยต้า คัมรี่ พบรถเก๋งนิสสันซันนี่ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน วค 1355 กทม. จอดขวางหน้าบ้าน จึงจดทะเบียนรถไปให้ร้านอาหารสามเสนวิลล่า ที่ให้ลูกค้าที่มาใช้บริการจอดรถริมถนน จากนั้นหมอมุกก็จอดรถดึงเบรกมือและเข้าห้องน้ำ กระทั่งคนขับรถคันที่จอดขวางมาเลื่อนรถ จากนั้นชายที่มีลักษณะคล้ายนายทหารกลับรถไปจอดที่ฝั่งตรงข้ามริมทางรถไฟ ถนนกำแพงเพชรตัดถนนเศรษฐศิริ ชายในรถมองกลับมาที่หมอมุก ทางหมอมุกบอกแม่ว่า สงสัยทำไมรถไปจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะที่หมอมุกเดินไปเพื่อเตรียมจะถอยเข้าบ้าน ได้ยินเสียงบีบแตรดังลั่น ก่อนที่จะเห็นรถคันที่จอดขวางพุ่งชนลูกสาวจนลอยไปไกลกว่า 30 เมตรต่อหน้าต่อตา จึงวิ่งเข้าไปดู มีพยานเก็บที่ปัดน้ำฝนของรถคันก่อเหตุที่ติดอยู่กับร่างของหมอมุกไว้เป็นหลักฐาน
เมื่อคดีถูกเปิดเผย บวกกับกระแสสังคมกดดันอย่างหนัก ในที่สุด เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2554 พล.ต.พิสุทธิ์ เปาอินทร์ รองปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมนายทหารพระธรรมนูญ ได้นำตัว พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น อายุ 51 ปี ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน โดยระบุว่า พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์นิสสัน ซันนี้ สีบรอนซ์ทอง ที่ชนหมอมุก ทว่า พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ให้การว่าเขาไม่ได้พุ่งชน แต่เป็นหมอมุกที่วิ่งเข้ามาชนรถเขาเอง ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าหมอมุกดูหนังฝรั่งมากเกินไป
คำปฏิเสธของ พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ ถูกก่นด่าและถูกประณามจากสังคมอย่างเผ็ดร้อน ซ้ำยังไม่มีใครเชื่อว่า พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนที่ขับรถชนหมอมุกจริง ด้วยเหตุผลที่ ก่อนเข้ามอบตัว 1 วัน พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ เดินทางไปยัง สน.พญาไท และยอมรับว่าเป็นผู้ครอบครองรถยนต์นิสสันคันที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้ยอมรับว่า เป็นคนขับรถในวันนั้น ครั้นวันที่เข้ามอบตัว กลับให้การว่า เป็นคนขับรถคันนั้น
พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา มารดาของหมอมุก บอกไว้เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2554 ว่า "จะไม่มีการยอมความกับผู้ที่ขับรถชนหมอมุก อย่างแน่นอน โดยจะให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ที่ก่อเหตุเป็นคนโหดร้าย ใจดำ อำมหิต เป็นภัยต่อสังคมและมีเจตนาจะฆ่าหมอมุก"
คดีนี้ ยังไม่มีการแจ้งข้อหากับ พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่หมอมุก ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่รพ.พระมงกุฏเกล้า หลังจากที่ต้องผ่าตัดสมองไปไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง แต่ทว่าเหมือนปาฏิหาริย์ อาการของหมอมุกดีวันดีคืนขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์!
เมื่อนำทั้ง 2 คดีมาเปรียบเทียบกัน เราไม่อาจตัดสินใจได้ว่า คดีไหนร้ายแรงกว่ากัน แต่ทั้ง 2 คดีถือว่า เป็นเรื่องที่สะเทือนใจอย่างโหดร้ายสำหรับเรา คดีของ น.ส.แพรว่า ถือว่าได้สร้างความสูญเสียให้กับบุคคลากรที่ถือว่า เป็นเสมือนระดับมันสมองของชาติ ความสูญเสียที่เกิดขึ้น เชื่อว่า ไม่อาจมีสิ่งใดมาทดแทน “คุณค่า” ได้ ในขณะเดียวกัน คดีของหมอมุกก็ถือเป็นบุคคลากรที่ทรงคุณค่าของชาติที่ไม่อาจหาสิ่งได้มาทดแทนได้เช่นกัน
แต่เมื่อมองมุมกลับ ในด้านวัยวุฒิ น.ส.แพรวา ถือว่า ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในขณะที่ พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ มีอายุถึง 51 ปี ผ่านร้อยผ่านหนาว และผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแล้ว อีกทั้งด้าน “คุณวุฒิ และวุฒิภาวะ” นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า น.ส.แพรวา “เธอ” ย่อมมีน้อยกว่า พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ แน่นอน คดีของ น.ส.แพรวา มีผู้เสียชีวิตถึง 9 คน ขณะที่คดีหมอมุก เราต้องสูญเสียบุคคลากรที่ทรงคุณค่า แม้ว่าหมอมุกไม่ได้เสียชีวิต แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งยังไม่มีใครการันตีได้ว่า หมอมุก จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่
ประเด็นที่จะกล่าวถึงต่อไป คือ ประเด็นแห่งการ “เจตนา” เราเชื่อว่าคดีที่เกิดขึ้นกับ น.ส.แพรนั้น เธอไม่ได้มี “เจตนา” ที่จะให้เกิด เพียงแต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นถึง 9 ชีวิต มันใหญ่หลวงยากที่ใครจะยอมรับได้ แม้แต่ตัวเธอเองก็ตาม ในขณะที่คดีหมอมุก เรายังไม่อยากฟันธงลงไปว่า มี “เจตนา” ซึ่งถึงขั้น “เจตนาฆ่า” ด้วยหรือไม่ และผู้ที่ติดตามข่าวสารในเรื่องนี้น่าจะรู้ดี
แม้ว่า ทั้ง 2 คดี ยังจะต้องมีการพิสูจน์ในข้อเท็จจริงกันต่อไป ยังไม่รู้ว่า คดีของน.ส.แพรวา จะหลุดหรือไม่หลุดด้วยความช่ำชองของทนายความ คดีของหมอมุก เมื่อถูกนำขึ้นศาลทหาร สุดท้ายจะเป็นอย่างไร สังคมจะยอมรับได้กับคำพิพากษาในวันนั้นหรือไม่ หลายคนคงอยากให้ “กรรม” คือผลของการกระทำ ได้บรรลุผลไวๆ แม้แต่เราเองก็ยังไม่รู้ว่า ระหว่าง “แพรวา-พันเอก” ใคร.....กว่ากัน? หรือคงต้องเฝ้ารอเพียง “เวลา” เป็นตัวกำหนดเท่านั้นหรือ?
ภายหลังจากที่ข่าวโศกนาฏกรรมดังกล่าวถูกแพร่กระจายออกไปตามสื่อต่างๆ ในวันรุ่งขึ้น สังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และเว็บบอร์ดของเว็บไซด์ต่างๆ ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงโศกนาฏกรรมในครั้งนี้อย่างเผ็ดร้อน โดยเฉพาะในประเด็นที่ภาพถ่ายของหญิงสาวร่างอรชร ยืนทอดน่องพิงพนักกันขอบทางด่วนโทลล์เวย์ วางกระเป๋าหรูสีขาวไว้ที่พื้นถนน ในมือคล้ายกดหาตัวอักษรบนโทรศัพท์มือถือ อยู่หน้ารถฮอนด้าซีวิค สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ที่ด้านหน้าพังยับเยิน ซึ่งหญิงสาวร่างอรชรดังกล่าว ทราบภายหลังชื่อ น.ส.อรชร หรือชื่อเล่น แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ขับขี่รถยนต์ฮอนด้าซีวิคคันดังกล่าว!
ผู้เสียชีวิตทั้ง 9 คนประกอบด้วย ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง นักวิทยาศาสตร์ประจำ สวทช. นายภิญโญ จินันทุยา ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหารจัดการเทคโนโลยีและสารสนเทศ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายปรัชญา คันธา นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายอุกฤษฎ์ รัตนโฉมศรี นักวิจัยไบโอเทค น.ส.สุดาวดี นิลวรรณ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นางนฤมล ปิตาทานัง คนขับรถตู้ นายเกียรติมันต์ รอดอารีย์ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ น.ส.ตรอง สุดธนกิจ และน.ส.จันจิรา ซิมกระโทก นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
น.ส.แพรวา ถูกสังคมก่นด่าและประณามอย่างหนักต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยที่หลายฝ่ายลงความเห็นว่าเธอคือ “ต้นเหตุ” ในขณะเดียวกัน คดีความถูกดำเนินไปตามขั้นตอน แม้จะถือว่า “ช้า” แต่ตำรวจในฐานะพนักงานสอบสวนก็ระบุว่า เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการของกฏหมาย จนในที่สุดเมื่อวันพุธที่ 22 มิถุนายน 2554 พนักงานอัยการที่มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกลับไปสอบเพิ่มเติมหลายครั้ง ได้มีคำสั่งส่งฟ้อง น.ส.แพรวา ใน 2 ข้อหา ประกอบด้วย ข้อหาขับรถประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และโทรศัพท์ขณะขับรถ
ในคำฟ้องของพนักงานอัยการสรุปว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2553 เวลากลางคืน จำเลยขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าซีวิค หมายเลขทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ขึ้นบนทางยกระดับโทลล์เวย์ มุ่งหน้าถนนดินแดง ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยได้กระทำประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะปกติจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ โดยจำเลยไม่ขับรถในช่องทางซ้าย เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขน ช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปลี่ยนช่องทางจากช่องขวาสุดมาช่องทางซ้ายถัดมา และยังเปลี่ยนกลับไปยังช่องทางขวาอีก เป็นเหตุให้รถยนต์ซีวิคของจำเลยพุ่งเข้าชนรถยนต์ตู้โดยสารทะเบียน 13-7795 กรุงเทพฯ วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่มีนางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เป็นคนขับ ทำให้รถยนต์ตู้เสียหลักหมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์พลิกคว่ำพังเสียหาย คนขับรถตู้โดยสารและผู้โดยสารภายในรถยนต์ตู้ กระเด็นออกจากตัวรถตกจากทางด่วนเสียชีวิตรวม 9 คน และบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ส่วนรถยนต์ของจำเลยแฉลบเลยจากรถยนต์ตู้ประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด
คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของขั้นศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในขณะที่ “เธอ” ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพมูลค่า 1 แสนบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลได้อนุญาตตามคำร้องขอ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความระทมทุกข์ให้แก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายของบรรดาญาติผู้สูญเสีย รวมทั้งฝ่ายของ น.ส.แพรวา โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ ดูเหมือนจะระทมทุกข์หนักกว่าใคร
นางลัดดาวัลย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แม่ของ น.ส.แพรวา บอกเมื่อตอนหลังเกิดเหตุไม่นานว่า ฝากกราบขอโทษทุกๆ คน ทุกๆ ครอบครัวที่สูญเสียและบาดเจ็บ เราไม่หลบไปไหนแน่ แต่ขอให้กระแสของอารมณ์ในสังคมคลี่คลายลงกว่านี้ก่อน ขณะนี้ครอบครัวทุกข์มาก ไม่มีใครได้นอนหลับเลยตั้งแต่เกิดเหตุ ช็อกและเสียใจอยู่แล้ว ที่ลูกสาวไปทำให้เกิดอุบัติเหตุมีคนตายถึง 8 คน มีคนเอาเบอร์โทรศัพท์ของเราไปลงในเฟซบุ๊ก เอารูปแพรวาไปลง มีโทรศัพท์ด่าทอเข้ามาตลอดทั้งคืน
“ดิฉันกับสามีต้องกราบขอโทษจริงๆ เราต้องย้ายแพรวาออกจาก รพ.วิภาวดี ไปอีก รพ.หนึ่ง และไปอีกที่หนึ่ง ตอนนี้อยู่ รพ.ที่ 3 แล้วเพราะมีการขู่ทำร้ายร่างกายและขู่ฆ่า ทั้งจากโทรศัพท์และจากช่องทางอื่น รวมถึงบุกเข้าไปในห้องพัก ซึ่งเราเข้าใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ ทาง รพ.ก็ขอให้เราย้ายออกไปด้วย ไม่ใช่เราตัดสินใจฝ่ายเดียว แต่ตอนนี้ลูกพักรักษาตัวในที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้หนีไปต่างประเทศ เราหนีคดีได้ แต่เราหนีความผิดไม่ได้หรอกค่ะ” นางลัดดาวัลย์กล่าว
ขอพักอารมณ์กับคดีของ น.ส.แพรวาไว้ชั่วครู่ก่อน โดยจะขอย้อนกลับไปยังคดี “รถชน” ที่เพิ่งเกิดขึ้น และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมในทุกระดับ ไม่น้อยไปกว่าคดีของ น.ส.แพรวาเช่นกัน!
คดีที่ว่า เกิดขึ้นมาเป็นเวลากว่า 9 วันแล้ว จึงถูกนำมาเปิดเผย โดยบรรดาญาติและเพื่อนของพ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ หมอมุก แพทย์ประจำคลินิกผู้สูงอายุ รพ.พระมงกุฎเกล้า ติดต่อร้องเรียนไปยังสื่อโทรทัศน์ช่อง 3 หลังจากที่หมอมุก ยังไม่ได้สติและอยู่ในห้องไอซียูมาถึง 9 วันเต็ม และหลังคดีความถูกเปิดเผย ในวันรุ่งขึ้น ทุกฝ่ายทั้งตำรวจ และทหารจึงกระตือรือล้น ที่จะสะสางคดีที่ว่านี้
คดีนี้ถูกแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. เวลา 10.40 น. กับร.ต.ท.สุขประเสริฐ หลักกอง พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.พญาไท โดยพ.ญ.พรรณกร อิ่มวิทยา อายุ 70 ปี มารดาของหมอมุกให้การไว้ว่า ในวันเกิดเหตุ กลับบ้านที่เสาวรสคลินิก ถ.เศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท หมอมุกขับรถโตโยต้า คัมรี่ พบรถเก๋งนิสสันซันนี่ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน วค 1355 กทม. จอดขวางหน้าบ้าน จึงจดทะเบียนรถไปให้ร้านอาหารสามเสนวิลล่า ที่ให้ลูกค้าที่มาใช้บริการจอดรถริมถนน จากนั้นหมอมุกก็จอดรถดึงเบรกมือและเข้าห้องน้ำ กระทั่งคนขับรถคันที่จอดขวางมาเลื่อนรถ จากนั้นชายที่มีลักษณะคล้ายนายทหารกลับรถไปจอดที่ฝั่งตรงข้ามริมทางรถไฟ ถนนกำแพงเพชรตัดถนนเศรษฐศิริ ชายในรถมองกลับมาที่หมอมุก ทางหมอมุกบอกแม่ว่า สงสัยทำไมรถไปจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะที่หมอมุกเดินไปเพื่อเตรียมจะถอยเข้าบ้าน ได้ยินเสียงบีบแตรดังลั่น ก่อนที่จะเห็นรถคันที่จอดขวางพุ่งชนลูกสาวจนลอยไปไกลกว่า 30 เมตรต่อหน้าต่อตา จึงวิ่งเข้าไปดู มีพยานเก็บที่ปัดน้ำฝนของรถคันก่อเหตุที่ติดอยู่กับร่างของหมอมุกไว้เป็นหลักฐาน
เมื่อคดีถูกเปิดเผย บวกกับกระแสสังคมกดดันอย่างหนัก ในที่สุด เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2554 พล.ต.พิสุทธิ์ เปาอินทร์ รองปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมนายทหารพระธรรมนูญ ได้นำตัว พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น อายุ 51 ปี ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน โดยระบุว่า พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์นิสสัน ซันนี้ สีบรอนซ์ทอง ที่ชนหมอมุก ทว่า พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ให้การว่าเขาไม่ได้พุ่งชน แต่เป็นหมอมุกที่วิ่งเข้ามาชนรถเขาเอง ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าหมอมุกดูหนังฝรั่งมากเกินไป
คำปฏิเสธของ พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ ถูกก่นด่าและถูกประณามจากสังคมอย่างเผ็ดร้อน ซ้ำยังไม่มีใครเชื่อว่า พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนที่ขับรถชนหมอมุกจริง ด้วยเหตุผลที่ ก่อนเข้ามอบตัว 1 วัน พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ เดินทางไปยัง สน.พญาไท และยอมรับว่าเป็นผู้ครอบครองรถยนต์นิสสันคันที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้ยอมรับว่า เป็นคนขับรถในวันนั้น ครั้นวันที่เข้ามอบตัว กลับให้การว่า เป็นคนขับรถคันนั้น
พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา มารดาของหมอมุก บอกไว้เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2554 ว่า "จะไม่มีการยอมความกับผู้ที่ขับรถชนหมอมุก อย่างแน่นอน โดยจะให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ที่ก่อเหตุเป็นคนโหดร้าย ใจดำ อำมหิต เป็นภัยต่อสังคมและมีเจตนาจะฆ่าหมอมุก"
คดีนี้ ยังไม่มีการแจ้งข้อหากับ พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่หมอมุก ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่รพ.พระมงกุฏเกล้า หลังจากที่ต้องผ่าตัดสมองไปไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง แต่ทว่าเหมือนปาฏิหาริย์ อาการของหมอมุกดีวันดีคืนขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์!
เมื่อนำทั้ง 2 คดีมาเปรียบเทียบกัน เราไม่อาจตัดสินใจได้ว่า คดีไหนร้ายแรงกว่ากัน แต่ทั้ง 2 คดีถือว่า เป็นเรื่องที่สะเทือนใจอย่างโหดร้ายสำหรับเรา คดีของ น.ส.แพรว่า ถือว่าได้สร้างความสูญเสียให้กับบุคคลากรที่ถือว่า เป็นเสมือนระดับมันสมองของชาติ ความสูญเสียที่เกิดขึ้น เชื่อว่า ไม่อาจมีสิ่งใดมาทดแทน “คุณค่า” ได้ ในขณะเดียวกัน คดีของหมอมุกก็ถือเป็นบุคคลากรที่ทรงคุณค่าของชาติที่ไม่อาจหาสิ่งได้มาทดแทนได้เช่นกัน
แต่เมื่อมองมุมกลับ ในด้านวัยวุฒิ น.ส.แพรวา ถือว่า ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในขณะที่ พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ มีอายุถึง 51 ปี ผ่านร้อยผ่านหนาว และผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแล้ว อีกทั้งด้าน “คุณวุฒิ และวุฒิภาวะ” นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า น.ส.แพรวา “เธอ” ย่อมมีน้อยกว่า พ.อ.(พิเศษ) ศักดิ์สิทธิ์ แน่นอน คดีของ น.ส.แพรวา มีผู้เสียชีวิตถึง 9 คน ขณะที่คดีหมอมุก เราต้องสูญเสียบุคคลากรที่ทรงคุณค่า แม้ว่าหมอมุกไม่ได้เสียชีวิต แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งยังไม่มีใครการันตีได้ว่า หมอมุก จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่
ประเด็นที่จะกล่าวถึงต่อไป คือ ประเด็นแห่งการ “เจตนา” เราเชื่อว่าคดีที่เกิดขึ้นกับ น.ส.แพรนั้น เธอไม่ได้มี “เจตนา” ที่จะให้เกิด เพียงแต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นถึง 9 ชีวิต มันใหญ่หลวงยากที่ใครจะยอมรับได้ แม้แต่ตัวเธอเองก็ตาม ในขณะที่คดีหมอมุก เรายังไม่อยากฟันธงลงไปว่า มี “เจตนา” ซึ่งถึงขั้น “เจตนาฆ่า” ด้วยหรือไม่ และผู้ที่ติดตามข่าวสารในเรื่องนี้น่าจะรู้ดี
แม้ว่า ทั้ง 2 คดี ยังจะต้องมีการพิสูจน์ในข้อเท็จจริงกันต่อไป ยังไม่รู้ว่า คดีของน.ส.แพรวา จะหลุดหรือไม่หลุดด้วยความช่ำชองของทนายความ คดีของหมอมุก เมื่อถูกนำขึ้นศาลทหาร สุดท้ายจะเป็นอย่างไร สังคมจะยอมรับได้กับคำพิพากษาในวันนั้นหรือไม่ หลายคนคงอยากให้ “กรรม” คือผลของการกระทำ ได้บรรลุผลไวๆ แม้แต่เราเองก็ยังไม่รู้ว่า ระหว่าง “แพรวา-พันเอก” ใคร.....กว่ากัน? หรือคงต้องเฝ้ารอเพียง “เวลา” เป็นตัวกำหนดเท่านั้นหรือ?