xs
xsm
sm
md
lg

กระตุ้นรัฐบาลสั่งกวดจับ "แก๊งค้ามนุษย์" ให้สิ้นซาก!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจจับแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย เข้ามาทำงานก่อสร้างในไทย
ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งขุดทอง ให้กับแรงงานประเทศเพื่อนบ้านที่ทะลักเข้ามาอาศัยแผ่นดินได้ทำมาหากิน กอบโกยเงินส่งกลับบ้านเกิด เพื่อให้คนที่อยู่ข้างหลังได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การลักลอบเข้าเมืองด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ต้องหลบเลี่ยงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ แม้จะต้องนอนทับกันอัดแน่นอยู่ที่ช่องลับที่ตบแต่งขึ้นมาใต้ท้องรถบรรทุก แล้วนายหน้าก็จะใช้จำพวกผัก ผลไม้ ปิดทับ เพื่ออำพรางตบตาตำรวจที่คอยตั้งด่านตรวจจับก็ตาม โดยนายหน้าจะมีวิธีการลักลอบขนแรงงานเข้าประเทศในรูปแบบแปลก แตกต่างกันไป เพื่อจะได้ทำยอดเงินไหลเข้ากระเป๋าตัวเองมากที่สุด เมื่อส่งแรงงานต่างด้าวถึงแหล่งที่จะต้องส่งต่อไปทำงานรับจ้างต่าง ๆ ในเมืองไทย ซึ่งเงินจำนวนมหาศาลถือเป็นสิ่งหอมหวนล่อใจ ที่ขบวนการค้ามนุษย์หยิบไปเป็นตัวหลอกล่อกับแรงงานต่างด้าว เพื่อแลกกับการได้งานทำในไทยอย่างถูกกฎหมายด้วย

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีทั้งแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทย โดยมีใบอนุญาตอย่างถูกกฎหมาย และลักลอบเข้ามาค้าแรงงานอย่างผิดกฎหมายจำนวนมาก ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค งานส่วนใหญที่ทำก็จะเป็นลูกจ้างห้างร้านขนส่งสินค้า ตามร้านอาหาร คาราโอเกะ โดยจะถูกหลอกเข้ามาขายบริการ นอกจากนี้ก็มีแรงงานบางส่วนไปรับจ้างทำงานบ้าน รับจ้างในตลาดสด และงานกรรมกรก่อสร้าง ซึ่งปัญหาการค้ามนุษย์จึงไม่ใช่เรื่องของการไปบังคับขืนใจ หรือเหยื่อเป็นแค่ผู้หญิงและเด็ก เพื่อป้อนเข้าธุรกิจขายบริการ แต่ยังเป็นกลุ่มแรงงาน ซึ่งรวมถึงแรงงานชายด้วย อย่างจะเห็นได้จากการการที่เจ้าหน้าที่ สตม. ได้บุกเข้าจับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติเขมรที่ลักลอบเข้ามาทำงานก่อสร้างอย่างผิดกฎหมาย โดยขณะที่ถูกควบคุมตัวคนงานเกือบ 160 คน เป็นชาย 121 คน และหญิงจำนวน 37 คน กำลังขมักเขม้นช่วยกันทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำแลกเงินกับมหาเศรษฐีเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดัง รวยติดอันดับโลก ด้วยการก่อสร้างคฤหาสน์ของมหาเศรษฐีคนดังกล่าว ในเนื้อที่ 20 ไร่ แถวบริเวณริมถนนบรมราชชนนี ปากซอย 109 การปราบปรามกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ ที่แรงงานต่างชาติบ้านใกล้ เรือนเคียงกับไทย เจ้าหน้าที่รัฐยังคงดำเนินการไปอย่างเนิบ ๆ แม้ว่ามีการลักลอบเข้ามาต่อสู้ ดิ้นรน ตากตำกับงานหนักของแรงงานต่างด้าวอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งกลุ่มนายหน้า นายทุนใหญ่พวกค้ามนุษย์ ยังคงส่งรถกระบะ รถบรรทุกที่ทำเหมือนว่าจะไปรับขนส่งพืชผักของภาคการเกษตรได้ไปตระเวนรับแรงงานที่มาจ่อรอคิวเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายตามจังหวัดแนวชายแดน โดยเสมือนว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เข้มงวดจับกุม หรือเพิกเฉยทำเป็นมองไม่เห็นกับขบวนการดังกล่าว จนทำให้เข้าใจว่า "หรือเจ้าหน้าที่รัฐจะรู้เห็นเป็นใจให้แรงงานต่างด้าวครองเมือง" และเข้ามาแย่งงานคนไทยทำ

แรงงานส่วนใหญ่จะเป็นชาวเขมร ลาว เวียดนาม บ้างก็ลักลอบเข้ามาขอทาน เป็นมิจฉาชีพฉก ชิง วิ่งราว กรีดกระเป๋า ล้วงกระเป๋า ตามแหล่งธุรกิจ หรือย่านชุมชนพลุ่กพล่าน เช่น ย่านการค้าประตูน้ำ สีลม สถานีรถไฟฟ้า แหล่งธุรกิจการค้าที่มีคนหนาตา สถานที่เมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น หาดใหญ่ เชียงใหม่ ชลบุรี ซึ่งกลุ่มแรงงานเหล่านี้จะเข้ามาแล้วรวมตัวกันเช่าบ้านพักอาศัยอยู่ในย่านใกล้เคียงกัน โดยเมื่อถูกจับกุมแรงงานเหล่านั้นจะอ้างว่าถูกนายหน้าส่งตัวให้เข้าหลบซ่อน เพื่อรอระบายส่งแรงงานไปทำงานตามความเหมาะสม พร้อมบอกว่าได้จ่ายค่าหัวคิวให้นายหน้าชาวไทย และนายหน้าชนชาติเดียวกัน รายละ 1,700-2,000 บาท เพื่อเข้ามาทำงานก่อสร้างและเป็นแม่บ้านใน จ.ชลบุรี และ กทม. โดยจะหลบหนีเข้ามาทางรอยต่อชายแดนด้าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแม้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามและดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานและกระบวนการค้ามนุษย์ ได้กวาดล้างจับเขมรลักลอบเข้ามาขอทาน-ทำก่อสร้างในไทย ได้กว่า 60 คน เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา และได้จับกุมแรงงานต่างด้าวได้บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ขบวนการค้ามนุษย์ "หยุด หรือ เว้นวรรค" ชะลอการทำงานตักตวงจากแรงงานโดยการนำเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งมองได้ว่า "กฎหมายไทยอ่อน หรือว่าเจ้าหน้าที่รัฐเกียร์ว่าง" ไม่ทำงานปล่อยให้แรงงานหลั่งไหลเข้าเมืองกันอย่างโจ๋งครึ้มกันแน่

นอกจากจะมีแรงงานหลบหนีเข้าเมืองเพื่อค้าแรงงานแล้ว ยังมีบางส่วนที่ต้องการพยายามเป็นคนไทยอย่างแท้จริง จะด้วยวิธีการแต่งงานกับหนุ่ม หรือสาวไทย หรือการว่าจ้างให้เจ้าหน้าที่รัฐออกบัตรประชาชนให้เพื่อรับรองจากสังคม และนานาประเทศว่าตัวเองเป็นคนไทย 100 เปอร์เซนต์ ซึ่งในเรื่องนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชน และข้าราชการในพื้นที่ ว่าที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี มีการออกบัตรประชาชนให้กับคนต่างด้าวมากผิดปกติ โดยเฉพาะชาวเนปาล

ความไม่นิ่งเฉยของ ป.ป.ท จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที โดยพบมีมูลความจริง พร้อมทั้งพบว่ามีชาวเนปาลได้รับบัตรประชาชนแบบ "สมาร์ทการ์ด" จากที่ทำการอำเภอทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี อย่างสด ๆ ร้อน ๆ ต่อหน้าต่อตา จึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับคนต่างด้าวชาวเนปาล ที่มีนามว่า " อามาน" ในข้อหาเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไว้หรือใช้เอกสารราชการปลอม ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าอ่านภาษาไทยไม่ได้ แม้กระทั่งชื่อ นามสกุล และที่ปรากฏอยู่ในบัตรประชาชน คือ นายตุ่ย กุลจารุกิจ อยู่บ้านเลขที่ 72 ม.3 ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพราะเจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการให้ทั้งหมด และเมื่อตรวจสอบไปยังบ้านเลขที่ดังกล่าว ปรากฏว่า ไม่มีบ้านเลขที่ตามที่ปรากฏในบัตร

ขณะเดียวกัน เมื่อป.ป.ท. ส่งข้อมูลให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้วก็ต้องมีการดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายอย่างจริงจังตามมา ส่วนการเอาผิดกันนายหน้าก็เป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เพื่อให้ผลการปราบปรามสาวไปถึงต้นตอ และปิดกั้นขบวนการค้ามนุษย์ไม่ให้ทำผิดกฎหมายในรูปแบบดังกล่าวอีกต่อไป ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) จะต้องเดินหน้าตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย

ทั้งนี้ จากข้อมูลของป.ป.ท. ยังพบว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหลายระดับ โดยต่างด้าวสัญชาติเนปาลที่ต้องการมีบัตรประชาชนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 100,000-150,000 บาท ซึ่งในพื้นที่ อ.ทองผาภูมิ และ อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี มีคนสัญชาติไทยอยู่จริงไม่ถึงร้อยละ 20 ส่วนที่เหลือเป็นคนต่างด้าว

ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นถือเป็นการเสื่อมถอยของระบบงานราชการ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐที่ด้อยศักยภาพ เห็นแก่ได้กับเงินที่ชาวต่างด้าวหยิบยื่นให้ แต่ไม่นึกถึงความฉิบหายที่จะตามมา ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายรัฐมนตรีชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ต้องสั่งการอย่างรวดเร็วให้ฝ่ายปกครองตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย เพื่อเอาผิดตั้งแต่ระดับ ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ให้การรับรองเอกสารการออกบัตร ตลอดจนนายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจออกบัตร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป อีกทั้งยังพบข้อมูลว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่อำเภอทองผาภูมิได้ออกบัตรประชาชนให้คนต่างด้าวไปจำนวนมากกว่า 1 หมื่นราย และหากคิดเป็นรายได้ที่ผู้ร่วมขบวนการได้รับจะมีจำนวนมากถึงหลักพันล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบย้อนหลังด้วย

กับหลากหลายวิธีการลักลอบขนคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในเมืองไทยอย่างผิดกฎหมาย ในเมื่อข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐมีความชัดเจน และหน่วยความมั่นคง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ต้องเอาจริง!! หากปล่อยให้ปัญหาหมักหมกและแช่ไว้เนิ่นนานเรื้อรัง ก็เป็นที่น่าเป็นห่วงว่าในอนาคตคนต่างด้าวจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ พร้อมกับมีการขยายฐานอำนาจในทางการเมืองทั้งการสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้านและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งขบวนการค้ามนุษย์ถือเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับความมั่นคง ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องมีการปราบปรามอย่างจริงจังเสียที!!
กำลังโหลดความคิดเห็น