ศาลจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 1 ล้าน ผู้ต้องหาตามหมายจับปฏิทินโจร ลำดับที่ 7 ค้ายาบ้า-พยายามฆ่าตำรวจ แต่รับสารภาพชั้นจับกุม ลดโทษเหลือจำคุก 74 ปี 28 เดือน ปรับ 7.5 แสน แต่ตามกฎหมายให้จำคุกสูงสุด 50 ปี
วันนี้ (16 มี.ค.) เวลา 11.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 703 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.3079/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวุฒิไชย์ หรือ วุฒิชัย หรือ ต้น วรมิตร อายุ 32 ปี ผู้ที่ถูกออกหมายจับตามปฏิทินจับโจรของ บช.น.ลำดับที่ 7 เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, ร่วมกันมีและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 289, 371, พระราชบัญญัติอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 3 ก.ย.52 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2548 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันมีอาวุธปืนพกสั้น ไม่ทราบชนิดและขนาด 1 กระบอก กระสุนปืนไม่ทราบชนิดและขนาด 2 นัด พกติดตัวไปบริเวณปากซอยระนอง 2 เขตดุสิต กทม.ซึ่งจำเลยกับพวกร่วมกันต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่า ด.ต.บรรจง ตุ่นทา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ขณะเข้าจับกุมจำเลยกับพวกในข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาบ้า ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ซึ่งจำเลยได้ผลักรถจักรยานยนต์ให้ล้มใส่ ด.ต.บรรจง จนเซเสียหลักแล้วใช้อาวุธปืนยิง ด.ต.บรรจง โดยมีเจตนาฆ่า ซึ่งจำเลยกับพวกได้ลงมือกระทำและกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เหตุเกิดที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม.ชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่สองฝ่ายนำสืบแล้ว เห็นว่า โจทก์มี ด.ต.บรรจง และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมวางแผนล่อซื้อยาบ้าจากสายลับที่ติดต่อพวกจำเลย เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า หลังจากได้ข่าวจากสายลับที่ติดต่อซื้อยาบ้าจำนวน 4,000 เม็ด ราคา 470,000 บาท แล้ว เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อขอรับเงินเพื่อล่อซื้อยาจากหน่วยปราบปรามยาเสพติด ตชด.ภาค 4 โดยนัดพบสายลับเพื่อล่อซื้อบริเวณกลางซอยสุขุมวิท 62 แต่ต่อมาย้ายสถานที่ไปที่ ซ.ระนอง 2 ย่านราชดำริ ซึ่งมีจำเลยเข้ามาขอดูเงินก่อนการส่งมอบยา แต่เมื่อ ด.ต.บรรจง แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยพยายามหลบหนีเมื่อ ด.ต.บรรจง ติดตามได้ขี่รถจักรยานยนต์ชนจนล้ม แล้วยังได้ชักปืนยิงใส่หน้าอก ด.ต.บรรจง 2 นัด
ศาลเห็นว่า ด.ต.บรรจง เป็นประจักษ์พยาน ซึ่งให้การเกี่ยวกับรายละเอียดการวางแผนล่อซื้อได้สอดคล้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซุ่มดูเหตุการณ์บริเวณโดยรอบ และบันทึกคำให้การของ ด.ต.บรรจง ซึ่งได้ทำภายหลังเกิดเหตุการณ์ทันที อีกทั้ง ด.ต.บรรจง ไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน โดยระหว่างที่มีการล่อซื้อ ด.ต.บรรจง ยังได้มีเวลาพูดคุยกับจำเลยด้วย และรถจักรยานยนต์ของกลางยังพบสำเนาใบขับขี่ที่มีภาพจำเลย และใบสั่งที่มีชื่อจำเลยอยู่ด้วย จึงเชื่อว่าพยานสามารถจดจำใบหน้าจำเลยได้ และไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลย แต่พยานและพวกเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนที่จำเลยต่อสู้คดี อ้างถิ่นที่อยู่ โดยนำน้าเขย เป็นพยานเบิกความและคัดค้านเรื่องแสงไฟ บริเวณที่ล่อซื้อนั้น เห็นว่า พยานเป็นญาติใกล้ชิด จึงน่าสงสัยว่าจะเบิกความช่วยเหลือจำเลย ส่วนเรื่องแสงไฟ ปรากฏว่าโจทก์มีพยานเอกสารเป็นแผนผังแสดงการตั้งอยู่ของเสาไฟและชนิดหลอดไฟ ที่เห็นว่าบริเวณดังกล่าวมีแสงสว่างเพียงพอในระยะ 5 เมตร ที่เจ้าหน้าที่ซุ่มดูเหตุการณ์ สามารถมองเห็นการล่อซื้อได้ ประกอบกับ ด.ต.บรรจง อยู่ห่างจากจำเลยเพียง 1 เมตรเท่านั้น พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ให้จำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1 ล้านบาท ฐานมีและจำหน่ายยาเสพติด, จำคุกตลอดชีวิต ฐานพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่, มีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี และพกอาวุธปืนในที่สาธารณะ จำคุกอีก 1 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงเห็นควรลดโทษ 1 ใน 4 ให้จำคุก 37 ปี 6 เดือน และปรับ 750,000 บาท ฐานมีและจำหน่ายยาเสพติด, จำคุก 37 ปี 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่, มีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน และพกอาวุธปืนในที่สาธารณะ จำคุก 8 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงให้จำคุก 74 ปี 28 เดือน แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมทุกกระทงความผิดแล้ว ให้จำคุกสูงสุดได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลย 50 ปี และปรับ 750,000 บาท และให้ริบของกลาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นายวุฒิไชย์ หรือ ต้น วรมิตร นั้น นอกจากคดีนี้แล้ว ยังถูกออกหมายจับข้อหาพรากผู้เยาว์ ของพื้นที่ สน.พญาไท ด้วย โดยถูกจับกุมได้ที่ซอยรามคำแหง 24 แยก 14 อพาร์ตเมนต์รามฯ 24 เรสซิเด้นท์ ย่านบางกะปิ โดย นายวุฒิไชย์ ถูกตั้งรางวัลนำจับ 50,000 บาท