ภาพการเจรจาบนโต๊ะ ระหว่างรัฐบาล และ แกนนำ นปช.ในห้วง 2 วันที่ผ่านมา ถือว่า ใน 2 ยก รัฐบาลเป็นฝ่าย กำชัยชนะ ขณะที่ฝ่าย นปช.ภายใต้การบงการของนายใหญ่"นช.ทักษิณ ชิณวัตร"พ่ายแพ้ในเรื่องเหตุ และ ผล อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น นับจากนี้ไป ถือว่าเกมแห่งความรุนแรง
ดังนั้น นับจากนี้ไป สัญญาณการเดินเกมสร้างความรุนแรง จึงเริ่มขึ้น
สอดรับกับการปรับแผนดูแลรักษาความปลอดภัยของ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการก่อเหตุของกลุ่มผู้ไม่หวังดี และกลุ่มมือที่สาม
วันนี้แม้วงจรชีวิตการชุมนุมของคนเสื้อแดง หลายฝ่ายจะคาดการณ์กันว่า "ม็อบไพร่แดง" จะอยู่ได้ไม่เกิน สงกรานต์นี้ หรืออย่างเร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ กลุ่มผู้ชุมนุมจะลดจำนวนลง อย่างน่าใจหาย
ขณะที่หัวหน้าม็อบ"ทักษิณ ชินวัตร"ที่ตั้งโจทย์ไว้ว่า ศึกครั้งนี้ (กฎกู)ต้องแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!
การก่อเหตุความรุนแรงในห้วงเวลาของการชุมนุม แน่นอนไม่มีใครหน้าไหนออกมายอมรับว่า เป็นคนของกลุ่มตน และก็ไม่มีใครหน้าไหนอีกเช่นกัน ที่กล้าบอกว่า การเคลื่อนไหวหวังสร้างความรุนแรง แต่ในความรุนแรงที่ได้บังเกิดขึ้น คงไปห้ามสังคมไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นคนของ กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง หากตราบใด เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดตัวจริงมาแถลงต่อสาธารณชนได้
สำหรับแผนปฎิบัติการณ์ของขบวนการใต้ดิน ภายใต้การบงการของคนคนเดียว ทางข่าวเชิงลึกได้กลิ่น ถือว่าไม่ธรรมดา สำหรับกองกำลังคนเถื่อน กองกำลังนี้?
เริ่มจากมีการระดมพลทหารสายเลือดเขมร มาเป็นกลุ่มระดับปฎิบัติการณ์ ด้วยการนำมาฝึกการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นานแรมเดือน จากนั้นได้นำมาอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยเช่าอาพาร์ทเม้น หอพัก อยู่ตามย่านพื้นที่จุดเป้าหมายก่อเหตุ ก่อนการชุมนุม เพื่อให้รู้เส้นทางการหลบหนี
โดยกองกำลังเถื่อน มีจำนวนประมาณ 120 คน แบ่งเป็น 40 ชุดๆละ 3 คน นายทหารยศระดับพันตรีนอกราชการเป็นผู้สั่งการ และัมีนักการเมืองอดีตทหารแก่ พลพรรคสีแดง เป็นผู้รับงานเดินใต้ดินจากนายใหญ่
สำหรับแผนการก่อเหตุ เริ่มจากส่งบุคคลไปดูลาดเลา ในเส้นทางที่จะก่อเหตุ และเมื่อพบว่า เส้นทางพื้นที่เป้าหมาย สะดวกในการก่อเหตุ จึงได้ส่งสัณญาณให้ชุดปฎิบัติการลงมือ โดยมีอีกทีม ที่คอยอำนวยความสะดวกในการพาหลบหนี
ที่สำคัญในแต่ละชุด จะรู้จักกันภายในชุด ส่วนชุดอื่นๆจะไม่รู้จักกัน เพื่อหวังตัดตอนสาวถึงผู้สั่งการ กรณีถูกตำรวจจับกุม
จากข้อมูลการข่าว เมื่อตรวจสอบเหตุการณ์ร้ายย้อนหลัง ถือว่า มีความเป็นไปได้สูง เพราะการก่อเหตุในห้วงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พื้นที่ กทม.เกิดขึ้นจำนวน 16 ครั้ง แต่จับกุมได้เพียง 1 ครั้ง คือ การจับกุมนายนิกร มาลัยศรี อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68/119 หมู่ที่ 3 ต. เมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุปาระเบิดเพลิงใส่รถถัง ที่จอดอยู่หน้ากองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ซึ่งถือเป็นคดีธรรมดา ที่ก่อเหตุจากความคึกคะคอง ด้วยการคลั่งคนเสื้อแดง เกลียดทหาร
ขณะที่คดียิงอาร์พีจีหมายถล่มกระทรวงกลาโหม เมื่อคืนวันที่ 20 มี.ค.ตำรวจทำได้แค่เพียงออกหมายจับ"ส.ต.ท.บัณฑิต สิทธิ์ทุม"หรือ"นายบัณฑิต"และหากนับรวมตั้งแต่วันออกหมายจับเมื่อวันที่ 23 มี.ค.จนถึงวันนี้ รวม 10 วัน นายบัณฑิต ก็ยังไม่ถูกจับกุม แม้ตำรวจจะใช้วิธีตั้งรางวัลนำจับไอ้วายร้ายตัวนี้ ถึงจำนวนเงินมาก 5 แสนบาทก็ตามที
"บัณฑิต สิทธิ์ทุม"ที่ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.รู้ลึกว่า เขาถูกดำเนินคดีตั้งแต่ปี 2538 ที่วังน้ำเย็น เรื่องขนไม้เถื่อน และอาวุธสงคราม กระทั่งปี 2544 ถูกไล่ออกจากราชการ ขณะนี้ถูกไล่ออกต้องถอดยศเป็นนายบัณฑิต จากนั้นไปทำงานที่บ่อนการพนันย่านชายแดนไทย-กัมพูชา และยังเป็นผู้ติดตามนักการเมืองระดับ ส.ส.คนหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียงกับ กทม.
อย่างไรก็ตาม หากถอดรหัส 2 คดี คือ ปาระเบิดเพลิงใส่รถถัง กับ คดียิงอาร์พีจีหมายถล่มกระทรวงกลาโหม ถือว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยคดีปาระเบิดเพลิง ถือเป็นคดีที่จบหลังจากจับกุมผู้กระทำความผิด แต่สำหรับคดียิงอาร์พีจี แม้จับกุมผู้กระทำความผิดได้ แต่ถือว่ายังไม่จบ เพราะมันสามารถขยายผลไปสู่การก่อเหตุในคดีอื่นๆได้อีก
ดังนั้น ทำไม"บัณฑิต สิทธิ์ทุม"จึงยังไม่ถูกจับกุม ใครให้การช่วยเหลือเขา จึงเป็นคำถามที่"สัณฐาน ชยนนท์"ต้องรีบหาคำตอบ
วันนี้แม้ "ปทีป ตันประเสริฐ"รักษาการ ผบ.ตร.และ"สัณฐาน ชยนนท์"ผบช.น.จะออกมา ตีปีก พร้อมกับออกมาตรการเข้ม หยุดการก่อวินาศกรรมเมืองกรุง ตามที่"สุเทพ เทือกสุบรรณ"รองนายกรัฐมนตรี มีบัญชามาก็ตามที
แต่หากตราบใด ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุ ยังฮึกเหิม เดินแผนปฎิบัติการสร้างเหตุร้ายป่วนเมืองรายวัน ขณะที่มาตรการของรัฐยังไม่สามารถหยุดยั้งมันได้ จึงถือเป็นห้วงอันตราย ในวันเวลาที่เหลือของการชุมนุม
ดังนั้น นับจากนี้ไป สัญญาณการเดินเกมสร้างความรุนแรง จึงเริ่มขึ้น
สอดรับกับการปรับแผนดูแลรักษาความปลอดภัยของ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันการก่อเหตุของกลุ่มผู้ไม่หวังดี และกลุ่มมือที่สาม
วันนี้แม้วงจรชีวิตการชุมนุมของคนเสื้อแดง หลายฝ่ายจะคาดการณ์กันว่า "ม็อบไพร่แดง" จะอยู่ได้ไม่เกิน สงกรานต์นี้ หรืออย่างเร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ กลุ่มผู้ชุมนุมจะลดจำนวนลง อย่างน่าใจหาย
ขณะที่หัวหน้าม็อบ"ทักษิณ ชินวัตร"ที่ตั้งโจทย์ไว้ว่า ศึกครั้งนี้ (กฎกู)ต้องแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!
การก่อเหตุความรุนแรงในห้วงเวลาของการชุมนุม แน่นอนไม่มีใครหน้าไหนออกมายอมรับว่า เป็นคนของกลุ่มตน และก็ไม่มีใครหน้าไหนอีกเช่นกัน ที่กล้าบอกว่า การเคลื่อนไหวหวังสร้างความรุนแรง แต่ในความรุนแรงที่ได้บังเกิดขึ้น คงไปห้ามสังคมไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นคนของ กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง หากตราบใด เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดตัวจริงมาแถลงต่อสาธารณชนได้
สำหรับแผนปฎิบัติการณ์ของขบวนการใต้ดิน ภายใต้การบงการของคนคนเดียว ทางข่าวเชิงลึกได้กลิ่น ถือว่าไม่ธรรมดา สำหรับกองกำลังคนเถื่อน กองกำลังนี้?
เริ่มจากมีการระดมพลทหารสายเลือดเขมร มาเป็นกลุ่มระดับปฎิบัติการณ์ ด้วยการนำมาฝึกการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นานแรมเดือน จากนั้นได้นำมาอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยเช่าอาพาร์ทเม้น หอพัก อยู่ตามย่านพื้นที่จุดเป้าหมายก่อเหตุ ก่อนการชุมนุม เพื่อให้รู้เส้นทางการหลบหนี
โดยกองกำลังเถื่อน มีจำนวนประมาณ 120 คน แบ่งเป็น 40 ชุดๆละ 3 คน นายทหารยศระดับพันตรีนอกราชการเป็นผู้สั่งการ และัมีนักการเมืองอดีตทหารแก่ พลพรรคสีแดง เป็นผู้รับงานเดินใต้ดินจากนายใหญ่
สำหรับแผนการก่อเหตุ เริ่มจากส่งบุคคลไปดูลาดเลา ในเส้นทางที่จะก่อเหตุ และเมื่อพบว่า เส้นทางพื้นที่เป้าหมาย สะดวกในการก่อเหตุ จึงได้ส่งสัณญาณให้ชุดปฎิบัติการลงมือ โดยมีอีกทีม ที่คอยอำนวยความสะดวกในการพาหลบหนี
ที่สำคัญในแต่ละชุด จะรู้จักกันภายในชุด ส่วนชุดอื่นๆจะไม่รู้จักกัน เพื่อหวังตัดตอนสาวถึงผู้สั่งการ กรณีถูกตำรวจจับกุม
จากข้อมูลการข่าว เมื่อตรวจสอบเหตุการณ์ร้ายย้อนหลัง ถือว่า มีความเป็นไปได้สูง เพราะการก่อเหตุในห้วงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พื้นที่ กทม.เกิดขึ้นจำนวน 16 ครั้ง แต่จับกุมได้เพียง 1 ครั้ง คือ การจับกุมนายนิกร มาลัยศรี อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68/119 หมู่ที่ 3 ต. เมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุปาระเบิดเพลิงใส่รถถัง ที่จอดอยู่หน้ากองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ซึ่งถือเป็นคดีธรรมดา ที่ก่อเหตุจากความคึกคะคอง ด้วยการคลั่งคนเสื้อแดง เกลียดทหาร
ขณะที่คดียิงอาร์พีจีหมายถล่มกระทรวงกลาโหม เมื่อคืนวันที่ 20 มี.ค.ตำรวจทำได้แค่เพียงออกหมายจับ"ส.ต.ท.บัณฑิต สิทธิ์ทุม"หรือ"นายบัณฑิต"และหากนับรวมตั้งแต่วันออกหมายจับเมื่อวันที่ 23 มี.ค.จนถึงวันนี้ รวม 10 วัน นายบัณฑิต ก็ยังไม่ถูกจับกุม แม้ตำรวจจะใช้วิธีตั้งรางวัลนำจับไอ้วายร้ายตัวนี้ ถึงจำนวนเงินมาก 5 แสนบาทก็ตามที
"บัณฑิต สิทธิ์ทุม"ที่ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.รู้ลึกว่า เขาถูกดำเนินคดีตั้งแต่ปี 2538 ที่วังน้ำเย็น เรื่องขนไม้เถื่อน และอาวุธสงคราม กระทั่งปี 2544 ถูกไล่ออกจากราชการ ขณะนี้ถูกไล่ออกต้องถอดยศเป็นนายบัณฑิต จากนั้นไปทำงานที่บ่อนการพนันย่านชายแดนไทย-กัมพูชา และยังเป็นผู้ติดตามนักการเมืองระดับ ส.ส.คนหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียงกับ กทม.
อย่างไรก็ตาม หากถอดรหัส 2 คดี คือ ปาระเบิดเพลิงใส่รถถัง กับ คดียิงอาร์พีจีหมายถล่มกระทรวงกลาโหม ถือว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยคดีปาระเบิดเพลิง ถือเป็นคดีที่จบหลังจากจับกุมผู้กระทำความผิด แต่สำหรับคดียิงอาร์พีจี แม้จับกุมผู้กระทำความผิดได้ แต่ถือว่ายังไม่จบ เพราะมันสามารถขยายผลไปสู่การก่อเหตุในคดีอื่นๆได้อีก
ดังนั้น ทำไม"บัณฑิต สิทธิ์ทุม"จึงยังไม่ถูกจับกุม ใครให้การช่วยเหลือเขา จึงเป็นคำถามที่"สัณฐาน ชยนนท์"ต้องรีบหาคำตอบ
วันนี้แม้ "ปทีป ตันประเสริฐ"รักษาการ ผบ.ตร.และ"สัณฐาน ชยนนท์"ผบช.น.จะออกมา ตีปีก พร้อมกับออกมาตรการเข้ม หยุดการก่อวินาศกรรมเมืองกรุง ตามที่"สุเทพ เทือกสุบรรณ"รองนายกรัฐมนตรี มีบัญชามาก็ตามที
แต่หากตราบใด ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุ ยังฮึกเหิม เดินแผนปฎิบัติการสร้างเหตุร้ายป่วนเมืองรายวัน ขณะที่มาตรการของรัฐยังไม่สามารถหยุดยั้งมันได้ จึงถือเป็นห้วงอันตราย ในวันเวลาที่เหลือของการชุมนุม