“นครบาล” เรียกประชุมปรับแผนรับมือหลังมีระเบิดรายวัน ส่งสายสืบพร้อมอาวุธแทนตำรวจในเครื่องแบบ ซุ่มโป่งดักมือบึ้มตามสถานที่สำคัญ ตรวจพบมีรถยนต์นำชี้เป้าก่อนส่ง จยย.ปาระเบิด หวั่นรุนแรงเพิ่ม เสื้อแดงยกระดับชุมนุมหลังเจรจาไม่สำเร็จ เผยตั้งแต่คืนวานมือป่วนยิงระเบิดใส่ทำเนียบแค่พลุกระเทียม วอนอย่าตื่นตระหนก
วันนี้ (29 มี.ค.) เมื่อเวลา 20.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. มีคำสั่งเรียกประชุมระดับผู้บังคับบัญชาสังกัด บช.น. ประกอบด้วย รอง ผบช.น.ทุกนาย รวมทั้งระดับ ผบก. และรอง ผบก.ทั้งหมด ที่ห้องปารุสกวัน 1 เกี่ยวกับหัวข้อเรื่องการปรับแผนและมาตราการการก่อเหตุป่วนเมือง และเหตุระเบิด มีรายงานด้วยว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ในวาระเร่งด่วนครั้งนี้สืบเนื่องจากดูจากสถานการณ์การเจรจาระหว่างแกนนำนปช. กับนายกฯ อาจจะไม่สำเร็จ จึงมีการปรับแผนดูแลรักษาความปลอดภัยเพราะเกรงว่าอาจเกิดเหตุระเบิดสร้างความปั่นป่วน หรือมือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ ส่วนบรรยากาศระหว่างรอการประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมประชุมต่างๆ ลุ้นดูข้อความ เอสเอ็มเอส ทางโทรศัพท์มือถือว่า ผลการเจรจานั้นสามารถตกลงกันได้หรือไม่ ซึ่งตำรวจส่วนใหญ่ในที่ประชุมพูดคุยกันอยากให้ทั้งสองนั้นฝ่ายยุติกันได้ ขณะที่ พล.ต.ท.สัณฐานเริ่มต้นประชุมการเจรจาก็ยังไม่จบ
หลังประชุมนาน 1 ชม.จึงเสร็จสิ้น พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า มีการปรับยุทธวีธีเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยตั้งแต่การชุมนุมพบว่าพื้นที่ กทม.มีเหตุเกิดขึ้น 16 ครั้ง จับกุมได้ 2 ครั้ง คือ ยิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมซึ่งรู้ตัวผู้ต้องหา และคดีปาขวดน้ำมันขว้างรถถัง นอกนั้นอยู่ระหว่างการสืบสวน จากกการตรวจดูกล้องวงจรปิดคนร้ายส่วนใหญ่ใช้รถจักรยานยนต์ ก่อเหตุก็จะมีรถนำหน้าเป็นรถเก๋ง และรถกระบะบ้าง ลักษณะเป็นการดูลาดเลา จุดใดที่มีตำรวจอยู่มีคนเฝ้านั้นไม่ทำเลือกทำจุดที่ไม่มีตำรวจอยู่ เฉพาะฉะนั้น ขออนุมัติต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอ.รส. ใช้กำลังชุดนอกเครื่องแบบ คือชุดสืบสวนของ สน.เป็นหลัก เพื่อดูแลพื้นที่ล่อแหลมพื้นที่เสี่ยงโดยใช้วิชาตำรวจโดยเฉพาะ ใช้สายสืบมีอาวุธปืนประจำกายที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกคนมีบัตรประจำตัว การสังเกตการณ์ของคนร้ายก็ยากที่จะเห็นตำรวจ ถ้าเราต้องใช้ตำรวจในเครื่องแบบเราต้องใช้เท่าไหร่ที่จะดูแลได้จึงเปลี่ยนยุทธวิธี
พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ขณะนี้ให้ท้องที่เป็นหลักพิจารณาดำเนินการ ผู้สื่อข่าวถามว่า ติดบัตรจะเป็นการเปิดเผยหรือไม่ พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ตำรวจท้องที่กับชาวบ้านรู้จักกันอยู่แล้ว ได้สั่งการให้สน.ไปดูพื้นที่ล่อแหลมของตัวเองว่ามีกี่จุดนั้นจะมีการประชุมอีกครั้ง แต่พื้นที่สถานที่สำคัญยังดูแลเหมือนเดิม กรณีรถนำนั้นก็กำลังตรวจสอบอยู่ พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวด้วยว่า ฝ่ายสืบสวนทั้งหมดนั้นจะไม่เกี่ยวกับพื้นที่ชุมนุมเด็ดขาดจะทำงานด้านอาชญากรรม และด้านวัตถุระเบิดทั้งหมด พื้นที่ชุมนุมชุดสืบสวนจะไม่เข้าไปดำเนินการดูแลพื้นที่ล่อแหลมเสี่ยงต่อการขว้างระเบิด ถูกยิงเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจจะทำให้เกิดเหตุระเบิดลดลง “ถามว่ามั่นใจไหมตำรวจจะต้องมีพลังใจการทำงานเต็มที่ ส่วนมั่นใจแค่ไหนเราต้องดูว่าเราปรับแผนแล้วได้ผลแค่ไหน” พล.ต.ท.สัณฐานกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น.กล่าวว่า ขณะนี้นอกพื้นที่ชุมนุมใน กทม. และปริมณฑล จะมีการปรับแผนการตรวจจากล่างสู่บนให้สน.เป็นผู้กำหนดจุดที่เหมาะสมดูแลพื้นที่ ซึ่ง สน.จะรู้พื้นที่ดีที่สุด โดยให้โจทย์ว่า มีสถานที่ล่อแหลมจะเกิดเหตุมากที่สุดไม่ว่า สถานที่สำคัญ สัญญาลักษณ์ทางเมือง สถานที่เป็นคู่เกี่ยวข้องกับในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน แต่ละ สน. และ บก.จะจัดลำดับความสำคัญวางกำลังมากน้อย โดย บช.น.จะสนับสนุนกำลังเพิ่มเติมจากจุดที่มีเหตุให้ รวมทั้งกำลังของเจ้าหน้าที่ ปจ.บางส่วน ส่วนที่ตั้งของทหาร ศอ.รส.สั่งการให้ทหารมีอาวุธเพื่อดูแลรักษาพื้นที่ในหน่วยของทหาร การตั้งจุดตรวจร่วม หรือออกตรวจสารวัตรทหารจะพกปืนเช่นเดียวกับตำรวจ
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า จุดที่จะพิจารณาดูแลเป็นพิเศษได้แก่ 1.สถานประกอบธุรกิจที่เป็นประเด็นการเมือง 2.บริษัทห้างร้านต่างๆ 3.องค์กรอิสระต่างๆ บุคคลสำคัญ 4.สื่อมวลชนบางแห่ง 5.พรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน บ้านพักบุคคลของพรรคการเมือง และ6.บุคคลสำคัญบ้านเมืองที่อาจไม่มีตำแหน่งหน้าที่ รวมทั้งให้จับตาพฤติการณ์ของกลุ่มบุคคล หรือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มก่อพฤติการณ์ก็ให้ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.ต่างๆ เข้าไปประกบตัวอย่างใกล้ชิด แต่ไม่บอกว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ทำแต่ต้องการประชิดตัวมากขึ้น โดยจะใช้ทั้งพนักงานสอบสวน และระดมฝ่ายสืบสวนจากสน.ไม่มีเหตุมาช่วยเหลือด้วย กลุ่มที่จับตายังไม่ระบุว่ามีกี่กลุ่ม ทุกบก.จะมีข้อมูลอยู่แล้วว่า กลุ่มใดมีศักยภาพก่อเหตุได้ และกลุ่มที่รับจ้างก่อเหตุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า คาดการณ์การยกระดับการชุมนุมกลุ่มนปช.หรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า มีการยกระดับรุนแรงสูงขึ้น แต่ก่อนเคยขู่ขวัญก่อเริ่มเข้าสู่สถานที่ และปัจจุบันลามไปถึงพี่น้องประชาชนไม่รู้เรื่องต้องมารับเคราะห์ด้วยถึงมีการปรับมาตรการตรงนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าตำรวจต้องปรับวิธีการทำงานเพื่อจับกุมคนร้าย และไม่ให้มีเหตุเกิดขึ้น คดีระเบิดที่เกิดขึ้นทั้งหมดหลายกรณีได้ความเชื่อมโยงเพื่อเติมอาจจะมีส่วนก่อเหตุกับท้องที่จ.นนทบุรี จะนำข้อมูลมาต่อจิ๊กซอร์กันขยายผลต่อไป เบื้องต้นมีหลายเหตุน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันซึ่งตั้งเป้าไว้ว่า อย่างน้อยต้องจับกุมได้ 1 รายก่อนจึงจะสมบูรณ์ต่อเนื่อง คนร้ายกลุ่มเดียวกันน่าจะทำหลายครั้ง
ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เปิดเผย ภายหลังหารประชุมวางแผนความรักษาความสงบเรียบร้อยว่า ตั้งแต่เวลา 22.00 น.ที่ผ่านมาว่าได้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดียิงวัตถุคล้ายระเบิดเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลทำให้เกิดเสียงดังขึ้นหลายครั้งตั้งแต่กลางดึกเมื่อวานที่ผ่านมา จากการตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเพียงพลุกระเทียมที่นำเทปกาวมามัดรวมกันก้อนกลมขนาดประมาณ 1 นิ้วจำนวนหลายลูก แล้วใช้หนังสติกยิงเข้าไปในทำเนียบทำให้เกิดเสียงดัง เบื้องต้นพบว่าผู้ไม่หวังดีน่าจะยิงมาจากบริเวณสะพานมัฆวาน ทั้งหมดจำนวน 3 ครั้งรวมจำนวน 8 ลูก ระเบิดจำนวน 5 ลูก ไม่ระเบิด 3 ลูก อย่างไรก็ตาม การก่อเหตุดังกล่าวไม่น่าจะหวังให้เกิดความรุนแรง เป็นเพียงการสร้างสถานการณ์จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตกใจ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีมาตรารองรับและดูแลความปลอดภัยไว้อยู่แล้ว ส่วนจะเป็นกลุ่มใดที่ก่อเหตุกำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ
วันนี้ (29 มี.ค.) เมื่อเวลา 20.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. มีคำสั่งเรียกประชุมระดับผู้บังคับบัญชาสังกัด บช.น. ประกอบด้วย รอง ผบช.น.ทุกนาย รวมทั้งระดับ ผบก. และรอง ผบก.ทั้งหมด ที่ห้องปารุสกวัน 1 เกี่ยวกับหัวข้อเรื่องการปรับแผนและมาตราการการก่อเหตุป่วนเมือง และเหตุระเบิด มีรายงานด้วยว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ในวาระเร่งด่วนครั้งนี้สืบเนื่องจากดูจากสถานการณ์การเจรจาระหว่างแกนนำนปช. กับนายกฯ อาจจะไม่สำเร็จ จึงมีการปรับแผนดูแลรักษาความปลอดภัยเพราะเกรงว่าอาจเกิดเหตุระเบิดสร้างความปั่นป่วน หรือมือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ ส่วนบรรยากาศระหว่างรอการประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมประชุมต่างๆ ลุ้นดูข้อความ เอสเอ็มเอส ทางโทรศัพท์มือถือว่า ผลการเจรจานั้นสามารถตกลงกันได้หรือไม่ ซึ่งตำรวจส่วนใหญ่ในที่ประชุมพูดคุยกันอยากให้ทั้งสองนั้นฝ่ายยุติกันได้ ขณะที่ พล.ต.ท.สัณฐานเริ่มต้นประชุมการเจรจาก็ยังไม่จบ
หลังประชุมนาน 1 ชม.จึงเสร็จสิ้น พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า มีการปรับยุทธวีธีเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยตั้งแต่การชุมนุมพบว่าพื้นที่ กทม.มีเหตุเกิดขึ้น 16 ครั้ง จับกุมได้ 2 ครั้ง คือ ยิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมซึ่งรู้ตัวผู้ต้องหา และคดีปาขวดน้ำมันขว้างรถถัง นอกนั้นอยู่ระหว่างการสืบสวน จากกการตรวจดูกล้องวงจรปิดคนร้ายส่วนใหญ่ใช้รถจักรยานยนต์ ก่อเหตุก็จะมีรถนำหน้าเป็นรถเก๋ง และรถกระบะบ้าง ลักษณะเป็นการดูลาดเลา จุดใดที่มีตำรวจอยู่มีคนเฝ้านั้นไม่ทำเลือกทำจุดที่ไม่มีตำรวจอยู่ เฉพาะฉะนั้น ขออนุมัติต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอ.รส. ใช้กำลังชุดนอกเครื่องแบบ คือชุดสืบสวนของ สน.เป็นหลัก เพื่อดูแลพื้นที่ล่อแหลมพื้นที่เสี่ยงโดยใช้วิชาตำรวจโดยเฉพาะ ใช้สายสืบมีอาวุธปืนประจำกายที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกคนมีบัตรประจำตัว การสังเกตการณ์ของคนร้ายก็ยากที่จะเห็นตำรวจ ถ้าเราต้องใช้ตำรวจในเครื่องแบบเราต้องใช้เท่าไหร่ที่จะดูแลได้จึงเปลี่ยนยุทธวิธี
พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ขณะนี้ให้ท้องที่เป็นหลักพิจารณาดำเนินการ ผู้สื่อข่าวถามว่า ติดบัตรจะเป็นการเปิดเผยหรือไม่ พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ตำรวจท้องที่กับชาวบ้านรู้จักกันอยู่แล้ว ได้สั่งการให้สน.ไปดูพื้นที่ล่อแหลมของตัวเองว่ามีกี่จุดนั้นจะมีการประชุมอีกครั้ง แต่พื้นที่สถานที่สำคัญยังดูแลเหมือนเดิม กรณีรถนำนั้นก็กำลังตรวจสอบอยู่ พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวด้วยว่า ฝ่ายสืบสวนทั้งหมดนั้นจะไม่เกี่ยวกับพื้นที่ชุมนุมเด็ดขาดจะทำงานด้านอาชญากรรม และด้านวัตถุระเบิดทั้งหมด พื้นที่ชุมนุมชุดสืบสวนจะไม่เข้าไปดำเนินการดูแลพื้นที่ล่อแหลมเสี่ยงต่อการขว้างระเบิด ถูกยิงเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจจะทำให้เกิดเหตุระเบิดลดลง “ถามว่ามั่นใจไหมตำรวจจะต้องมีพลังใจการทำงานเต็มที่ ส่วนมั่นใจแค่ไหนเราต้องดูว่าเราปรับแผนแล้วได้ผลแค่ไหน” พล.ต.ท.สัณฐานกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น.กล่าวว่า ขณะนี้นอกพื้นที่ชุมนุมใน กทม. และปริมณฑล จะมีการปรับแผนการตรวจจากล่างสู่บนให้สน.เป็นผู้กำหนดจุดที่เหมาะสมดูแลพื้นที่ ซึ่ง สน.จะรู้พื้นที่ดีที่สุด โดยให้โจทย์ว่า มีสถานที่ล่อแหลมจะเกิดเหตุมากที่สุดไม่ว่า สถานที่สำคัญ สัญญาลักษณ์ทางเมือง สถานที่เป็นคู่เกี่ยวข้องกับในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน แต่ละ สน. และ บก.จะจัดลำดับความสำคัญวางกำลังมากน้อย โดย บช.น.จะสนับสนุนกำลังเพิ่มเติมจากจุดที่มีเหตุให้ รวมทั้งกำลังของเจ้าหน้าที่ ปจ.บางส่วน ส่วนที่ตั้งของทหาร ศอ.รส.สั่งการให้ทหารมีอาวุธเพื่อดูแลรักษาพื้นที่ในหน่วยของทหาร การตั้งจุดตรวจร่วม หรือออกตรวจสารวัตรทหารจะพกปืนเช่นเดียวกับตำรวจ
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า จุดที่จะพิจารณาดูแลเป็นพิเศษได้แก่ 1.สถานประกอบธุรกิจที่เป็นประเด็นการเมือง 2.บริษัทห้างร้านต่างๆ 3.องค์กรอิสระต่างๆ บุคคลสำคัญ 4.สื่อมวลชนบางแห่ง 5.พรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน บ้านพักบุคคลของพรรคการเมือง และ6.บุคคลสำคัญบ้านเมืองที่อาจไม่มีตำแหน่งหน้าที่ รวมทั้งให้จับตาพฤติการณ์ของกลุ่มบุคคล หรือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มก่อพฤติการณ์ก็ให้ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.ต่างๆ เข้าไปประกบตัวอย่างใกล้ชิด แต่ไม่บอกว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ทำแต่ต้องการประชิดตัวมากขึ้น โดยจะใช้ทั้งพนักงานสอบสวน และระดมฝ่ายสืบสวนจากสน.ไม่มีเหตุมาช่วยเหลือด้วย กลุ่มที่จับตายังไม่ระบุว่ามีกี่กลุ่ม ทุกบก.จะมีข้อมูลอยู่แล้วว่า กลุ่มใดมีศักยภาพก่อเหตุได้ และกลุ่มที่รับจ้างก่อเหตุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า คาดการณ์การยกระดับการชุมนุมกลุ่มนปช.หรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า มีการยกระดับรุนแรงสูงขึ้น แต่ก่อนเคยขู่ขวัญก่อเริ่มเข้าสู่สถานที่ และปัจจุบันลามไปถึงพี่น้องประชาชนไม่รู้เรื่องต้องมารับเคราะห์ด้วยถึงมีการปรับมาตรการตรงนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าตำรวจต้องปรับวิธีการทำงานเพื่อจับกุมคนร้าย และไม่ให้มีเหตุเกิดขึ้น คดีระเบิดที่เกิดขึ้นทั้งหมดหลายกรณีได้ความเชื่อมโยงเพื่อเติมอาจจะมีส่วนก่อเหตุกับท้องที่จ.นนทบุรี จะนำข้อมูลมาต่อจิ๊กซอร์กันขยายผลต่อไป เบื้องต้นมีหลายเหตุน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันซึ่งตั้งเป้าไว้ว่า อย่างน้อยต้องจับกุมได้ 1 รายก่อนจึงจะสมบูรณ์ต่อเนื่อง คนร้ายกลุ่มเดียวกันน่าจะทำหลายครั้ง
ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เปิดเผย ภายหลังหารประชุมวางแผนความรักษาความสงบเรียบร้อยว่า ตั้งแต่เวลา 22.00 น.ที่ผ่านมาว่าได้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดียิงวัตถุคล้ายระเบิดเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลทำให้เกิดเสียงดังขึ้นหลายครั้งตั้งแต่กลางดึกเมื่อวานที่ผ่านมา จากการตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเพียงพลุกระเทียมที่นำเทปกาวมามัดรวมกันก้อนกลมขนาดประมาณ 1 นิ้วจำนวนหลายลูก แล้วใช้หนังสติกยิงเข้าไปในทำเนียบทำให้เกิดเสียงดัง เบื้องต้นพบว่าผู้ไม่หวังดีน่าจะยิงมาจากบริเวณสะพานมัฆวาน ทั้งหมดจำนวน 3 ครั้งรวมจำนวน 8 ลูก ระเบิดจำนวน 5 ลูก ไม่ระเบิด 3 ลูก อย่างไรก็ตาม การก่อเหตุดังกล่าวไม่น่าจะหวังให้เกิดความรุนแรง เป็นเพียงการสร้างสถานการณ์จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตกใจ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีมาตรารองรับและดูแลความปลอดภัยไว้อยู่แล้ว ส่วนจะเป็นกลุ่มใดที่ก่อเหตุกำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ