นครบาล ขานรับประกาศของศูนย์ ศอ.รส.ห้ามใช้เส้นทางและยานพาหนะใน 8 สาย โดยเฉพาะพื้นที่รัฐสภา หากผู้ชุมนุม หรือใครฝ่าฝืนถือว่าทำผิดมีโทษคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่น และห้ามปลุกระดม ยุยงสร้างความรุนแรง พร้อมจะนำป้ายประกาศห้าม 1 แสนแผ่น ปิดประชาสัมพันธ์ให้ทั่ว กทม.
วันนี้ (23 มี.ค.) ที่ บช.น.เมื่อเวลา 11.30 น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) รับผิดชอบงานด้านการสอบสวน แถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดตามประกาศ เรื่อง ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือใช้ยานพาหนะ และห้ามบุคคลเข้าหรือออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ออกตามความในมาตรา 18 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ว่า ตามที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าศูนย์ ศอ.รส.ได้ออกประกาศห้ามใช้เส้นทางคมนาคม และยานพาหนะ ยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ใน 7 เส้นทาง
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า เส้นทางดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ถนนนครราชสีมาตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ถึงแยกสวนรื่นฤดี 2.ถนนราชวิถีตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกอุทัย 3.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกสุโขทัยถึงแยกวัดเบญจมบพิตร 4.ถนนศรีอยุธยาตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ถึงแยกเสาวนีย์ 5.ถนนอู่ทองในตั้งแต่แยกพระรูป ร.5 ถึงแยกอู่ทองใน 6.ถนนสวรรคโลกตั้งแต่แยกเสาวนีย์ถึงแยกสวรรคโลก 7.ถนนสุโขทัย ตั้งแต่แยกสวรรคโลกถึงท่าน้ำสามเสน และ 8.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัติยานีถึงแยกอู่ทองใน
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวต่อไปว่า การห้ามใช้เส้นทางทั้ง 8 สาย อาจทำให้เกิดปัญหาการจราจรขึ้นได้ แต่ทางศูนย์เห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยในการดูแลพื้นที่ และคาดว่า ในอีก 1-2 นี้จะมีการประชุมสภาฯตามปกติด้วย นอกจากนี้ยังมีประกาศอีกฉบับหนึ่ง คือ ห้ามมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการร์อันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ อาทิ การปลุกระดมยุยงปลุกปั่น สร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรุนแรง หรือเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน และความมั่นคงของรัฐ เข้าหรือต้องออกบริเวณพื้นที่รัฐสภา ถนนอู่ทองใน และเขตพื้นที่ดุสิต เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
“หากพบว่าผู้ใดเข้าไปใช้ถนนต่างๆ ดังที่กล่าวมา และเข้าไปในเขตรัฐสภาและพื้นที่ที่กำหนดนั้นก็ถือว่าฝ่าฝืนมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 แม้จะเข้าไปเฉยๆ โดยไม่ได้ก่อเหตุใดๆก็ตาม ถือว่ามีความผิดแล้ว และมีความผิดทันทีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” รอง ผบช.น.กล่าว
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวต่อว่า ถ้าเป็นกรณีผู้ชุมนุมก็จะถือว่ามิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองกลางเคยมีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2551 ตามคดีหมายเลขที่ 1605/2551 เป็นแนวทางไว้แล้ว เจ้าหน้าที่มีหน้าที่เข้าดำเนินการกับผู้ชุมนุมโดยไม่สงบได้ ฉะนั้น อยากชี้แจงว่า ในพื้นที่เหล่านี้เมื่อห้ามยานพาหนะ เมื่อห้ามคนไม่ให้เข้าไปในพื้นที่รัฐสภา ห้ามเข้าไปในบริเวณต่างๆ ที่กำหนดไว้ ถ้าเข้าไปก็ผิดกฎหมายและมีผลทำให้การชุมนุมนั้นไม่เป็นการชุมนุมที่สงบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
“อยากนำเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนไว้ด้วย ส่วนการหลีกเลี่ยงเส้นทางการคมนาคมต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะชี้แจงประชาสัมพันธ์เส้นทางหลีกเลี่ยงต่อไปพร้อมนำป้ายประกาศห้ามเข้าไปติดตามจุดต่างๆ ทั่ว กทม.ซึ่งมีจำนวน 1 แสนแผ่น ด้วยกัน ส่วนจะห้ามจนถึงเมื่อไหร่นั้นทางศูนย์จะพิจารณาและแจ้งให้ทราบต่อไป โดยประกาศดังกล่าวทั้ง 2 ฉบับนั้นมีผลตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นต้นไปโดยไม่มีกำหนด” พล.ต.ต.อำนวย กล่าว
วันนี้ (23 มี.ค.) ที่ บช.น.เมื่อเวลา 11.30 น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) รับผิดชอบงานด้านการสอบสวน แถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดตามประกาศ เรื่อง ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือใช้ยานพาหนะ และห้ามบุคคลเข้าหรือออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ออกตามความในมาตรา 18 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ว่า ตามที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าศูนย์ ศอ.รส.ได้ออกประกาศห้ามใช้เส้นทางคมนาคม และยานพาหนะ ยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ใน 7 เส้นทาง
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า เส้นทางดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ถนนนครราชสีมาตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ถึงแยกสวนรื่นฤดี 2.ถนนราชวิถีตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกอุทัย 3.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกสุโขทัยถึงแยกวัดเบญจมบพิตร 4.ถนนศรีอยุธยาตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ถึงแยกเสาวนีย์ 5.ถนนอู่ทองในตั้งแต่แยกพระรูป ร.5 ถึงแยกอู่ทองใน 6.ถนนสวรรคโลกตั้งแต่แยกเสาวนีย์ถึงแยกสวรรคโลก 7.ถนนสุโขทัย ตั้งแต่แยกสวรรคโลกถึงท่าน้ำสามเสน และ 8.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัติยานีถึงแยกอู่ทองใน
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวต่อไปว่า การห้ามใช้เส้นทางทั้ง 8 สาย อาจทำให้เกิดปัญหาการจราจรขึ้นได้ แต่ทางศูนย์เห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยในการดูแลพื้นที่ และคาดว่า ในอีก 1-2 นี้จะมีการประชุมสภาฯตามปกติด้วย นอกจากนี้ยังมีประกาศอีกฉบับหนึ่ง คือ ห้ามมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการร์อันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ อาทิ การปลุกระดมยุยงปลุกปั่น สร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรุนแรง หรือเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน และความมั่นคงของรัฐ เข้าหรือต้องออกบริเวณพื้นที่รัฐสภา ถนนอู่ทองใน และเขตพื้นที่ดุสิต เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
“หากพบว่าผู้ใดเข้าไปใช้ถนนต่างๆ ดังที่กล่าวมา และเข้าไปในเขตรัฐสภาและพื้นที่ที่กำหนดนั้นก็ถือว่าฝ่าฝืนมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 แม้จะเข้าไปเฉยๆ โดยไม่ได้ก่อเหตุใดๆก็ตาม ถือว่ามีความผิดแล้ว และมีความผิดทันทีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” รอง ผบช.น.กล่าว
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวต่อว่า ถ้าเป็นกรณีผู้ชุมนุมก็จะถือว่ามิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองกลางเคยมีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2551 ตามคดีหมายเลขที่ 1605/2551 เป็นแนวทางไว้แล้ว เจ้าหน้าที่มีหน้าที่เข้าดำเนินการกับผู้ชุมนุมโดยไม่สงบได้ ฉะนั้น อยากชี้แจงว่า ในพื้นที่เหล่านี้เมื่อห้ามยานพาหนะ เมื่อห้ามคนไม่ให้เข้าไปในพื้นที่รัฐสภา ห้ามเข้าไปในบริเวณต่างๆ ที่กำหนดไว้ ถ้าเข้าไปก็ผิดกฎหมายและมีผลทำให้การชุมนุมนั้นไม่เป็นการชุมนุมที่สงบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
“อยากนำเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนไว้ด้วย ส่วนการหลีกเลี่ยงเส้นทางการคมนาคมต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะชี้แจงประชาสัมพันธ์เส้นทางหลีกเลี่ยงต่อไปพร้อมนำป้ายประกาศห้ามเข้าไปติดตามจุดต่างๆ ทั่ว กทม.ซึ่งมีจำนวน 1 แสนแผ่น ด้วยกัน ส่วนจะห้ามจนถึงเมื่อไหร่นั้นทางศูนย์จะพิจารณาและแจ้งให้ทราบต่อไป โดยประกาศดังกล่าวทั้ง 2 ฉบับนั้นมีผลตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นต้นไปโดยไม่มีกำหนด” พล.ต.ต.อำนวย กล่าว