โฆษก ศปก.ตร.ระบุ การข่าวตำรวจไม่พบ และยังไม่มีอะไรชัดเจนกับกระแสลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ชี้ ชาวกัมพูชาเข้าฝึกร่วมเจ้าหน้าที่รัฐรับงานสังหารเป็นเพียงข่าวโคมลอย สั่งตำรวจทุกนายวางตัวเป็นกลาง เผย ลงโทษวินัยไปแล้วกับการที่ “นายดาบ” แต่งเต็มยศ อ้างลาป่วย เป็นเท็จโดดขึ้นเวทีม็อบแดง
วันนี้ (18 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ รอง ผบช.สทส. ในฐานะโฆษก ศปก.ตร.กล่าวถึงกรณีมีข่าวลอบสังหาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า การข่าวของทางตำรวจไม่พบว่ามีข่าวลอบสังหารนายกรัฐมนตรี หรือบุคคลสำคัญ แต่ทางฝ่ายความมั่นคงได้ประสานมาว่ามีข่าวดังกล่าวให้ทางตำรวจช่วยหาข่าวเพิ่มเติม ซึ่งหลังจากได้รับการประสานมาทางตำรวจก็ติดตามข่าวดังกล่าวดูความเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัยกลุ่มต่างๆ ที่อาจจะมีความเคลื่อนไหวมากขึ้นในช่วงนี้ แต่ยังไม่มีอะไรชัดเจน ไม่มีอะไรยืนยันว่า มีข่าวดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญต่างๆ อย่างนายกรัฐมนตรีเราดูแลความปลอดภัยอย่างสูงสุดอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่ว่า มีชาวกัมพูชาที่เข้ามาฝึกร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหายตัวไป 2 ราย คาดว่า จะไปรับงานสังหารบุคคลสำคัญ หรือนายกรัฐมนตรี พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า เชื่อว่า เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ซึ่งข่าวลือในแต่ละวันมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะดูแต่ละข่าวว่าข่าวไหนต้องนำมาพิจารณา อย่างข่าวชาวกัมพูชารับงานสังหารนั้น ดูแล้วเป็นข่าวที่ไม่มีเหตุผลน่าเชื่อถือ เพราะอย่างตำรวจเองก็ไม่เคยมีโครงการเอาชาวกัมพูชามาฝึกร่วม หน่วยแม่นปืนของเราก็มีการฝึกอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเอาชาวต่างด้าวมาฝึกร่วม
ส่วนโครงการรัฐอื่นๆ ไม่น่าจะมี และถ้าจะมีการลอบสังหารจริงก็ไม่มีความจำเป็นต้องจ้างชาวต่างชาติมาทำมือปืนในเมืองไทยก็มี ซึ่งเป็นข่าวที่ดูไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ และไม่สมเหตุสมผล
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า หลังจากที่มีข้าราชการตำรวจสวมเครื่องแบบเต็มยศขึ้นแสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนเวทีปราศรัยของ นปช.ที่เวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้าลีลาศนั้น เรื่องนี้ทางผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดได้ให้รายงานข้อเท็จจริงและลงโทษทางวินัยไปแล้ว คาดว่าจะเป็นการลงโทษทางวินัยสถานเบา-กลาง เช่น กักยาม แต่หากทำผิดซ้ำจะถูกลงโทษสถานหนัก เบื้องต้นตำรวจนายนี้อ้างว่าลาป่วย ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะไปขึ้นเวทีได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุ ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ10) ได้วิทยุสั่งการด่วนที่สุด เพื่อกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจทุกนายต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งเราได้กำชับมาโดยตลอด
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวต่อไปว่า พล.ต.อ.อดุลย์ ได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงแต่ละหน่วยงาน กำชับข้าราชการตำรวจในสังกัด เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อประชาชน ด้วยความเสมอภาค ยุติธรรม และเป็นธรรม ตลอดจนความเป็นกลางทางการเมืองและความเหมาะสมในการแสดงออกทางการเมืองภายใต้กรอบระเบียบของข้าราชการตำรวจ
“หากประชาชน หรือตำรวจท่านใดพบเห็นข้าราชการตำรวจมีการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมผิดต่อระเบียบปฏิบัติของข้าราชการตำรวจ ให้ทุกหน่วยรายงาน ตร.ผ่านทาง ศปก.ตร.ทราบ และพิจารณาดำเนินการทุกอย่างตามกรอบของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง” พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าว
สั่งตำรวจทุกนายเป็นกลาง
ทางด้าน พล.ต.ต.ฌานไชย แกล้วเขตต์การ ผู้บังคับการกองการบินตำรวจ กล่าวถึงกรณีที่ ด.ต.อุบล สุวรรณกาล นายตำรวจสังกัดกองบินตำรวจ แต่งเครื่องแบบตำรวจขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า เบื้องต้น ด.ต.อุบล ได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงขึ้นมาให้ต้นสังกัดรับทราบแล้ว พร้อมได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้รับทราบต่อไป
สำหรับการพิจารณาความผิดวินัย ด.ต.อุบล ทางต้นสังกัดจะเป็นผู้พิจารณาเอง แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามีความผิดในส่วนใดบ้าง เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบก่อน
ทั้งนี้ ในวันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ10) ได้มีวิทยุสั่งการด่วนที่สุด เรื่อง กำชับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจทุกนายต้องมีความเป็นกลางทางการเมืองหลังจาก เมื่อวันที่ 16 มี.ค.2553 ได้มีข้าราชการตำรวจสวมเครื่องแบบเต็มยศขึ้นแสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนเวทีปราศรัยร่วมกับกลุ่ม นปช.ณ เวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้าลีลาศ นั้น ไม่เหมาะสม เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องวางตัวเป็นกลาง พร้อมสั่งให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงแต่ละ หน่วยงาน กำชับข้าราชการตำรวจในสังกัด เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อประชาชน ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ความเสมอภาค และเป็นธรรม ตลอดจนความเป็นกลางทางการเมือง และความเหมาะสมในการแสดงออกทางการเมือง ภายใต้กรอบระเบียบของข้าราชการตำรวจ หากพบเห็นข้าราชการตำรวจมีการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมผิดต่อระเบียบปฏิบัติของข้าราชการตำรวจ ให้ทุกหน่วยรายงาน ตร. (ผ่าน ศปก.ตร) ทราบและพิจารณาดำเนินการทุกอย่างตามกรอบของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง