กองปราบปรามรวบเจ้าของรถร่วมบริการสายหนามแดง-สมุทรปราการ ฆ่าหลานสาววัย 19 หลังแม่ยายจับได้ว่าหลานตัวดีเล่นชู้สามีตัวเอง ผู้ต้องหาอ้างแม่ยายจึงชวนไปช่วยเคลียร์กับหลานสาวเพื่อไม่ให้ไปยุ่งมีความลึกซึ้งกันอีก แต่ผู้ตายปฏิเสธจึงถูกแม่ยายตบตีทำร้ายจนเสียชีวิต
วันนี้ (5 มี.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น. พ.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม พร้อมด้วย พ.ต.อ.สานิตย์ มหถาวร รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา รอง ผกก.5 บก.ป.และ พ.ต.ต.ศตยุ ไชยสุวรรณ์ สว.กก.5 บก.ป. แถลงข่าวจับกุม นายสุทัศน์ พานทอง อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 190/45 หมู่ 6 ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 155/1/2553 ลงวันที่ 2 มีนาคม 2553 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จับกุมได้ที่ที่ปั๊มน้ำมันเอสโซ่ จ.นครสวรรค์
พ.ต.อ.สานิตย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้ต้องหาได้ร่วมกับ นางไพรัตน์ พุทธเกิด อายุ 45 ปี นายสำเริง พวงเล็ก อายุ 37 ปี และนางวาสนา พุกพันธ์ อายุ 38 ปี ก่อเหตุฆ่า น.ส.จันทิมา พวงเล็ก อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของนางไพรัตน์เสียชีวิตบริเวณลานดินหลังหมู่บ้านบางปูนคร หมู่ 9 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ส่วนสาเหตุมาจากความหึงหวง หลังจากนางไพรัตน์จับได้ว่า น.ส.จันทิมา ไปติดพันกับสามีตน จึงร่วมกันอุ้มตัวผู้เสียชีวิตจากห้องพักย่านงามวงศ์วานไปฆ่าทิ้งอย่างโหดเหี้ยม
พ.ต.อ.สานิตย์ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นศาลจังหวัดสมุทรปราการอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 รายแล้ว ทางชุดสืบสวน กก.5 บก.ป.ได้รับการติดต่อจากญาติของนายสุทัศน์ว่าจะพานายสุทัศน์เข้ามอบตัวเพื่อขอต่อสู้คดี โดยนัดหมายกันที่ปั๊มน้ำมันเอสโซ่ กระทั่งนายสุทัศน์ได้เดินทางมาตามนัดหมายจริง แต่ตำรวจได้ซุ่มรอและเข้าจับกุมตัวไว้ ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวนดำเนินคดีที่ บก.ป.
จากการสอบสวนนายสุทัศน์ให้การว่า ตนเป็นเจ้าของกิจการรถร่วมบริการสายหนามแดง-สมุทรปราการ มีรถอยู่ 10 คัน ส่วนในวันเกิดเหตุนางไพรัตน์ แม่ยายชวนตน นายสำเริง และ นางวาสนา ไปเคลียร์กับ น.ส.จันทิมา ที่หอพักย่านงามวงศ์วาน หลังจับได้ว่ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสามีซึ่งเป็นเจ้าของร้านรับซื้อของเก่า เมื่อไปถึงได้เรียกผู้ตายขึ้นรถ ก่อนบอกให้หลานสาวเลิกยุ่งเกี่ยวกับสามี แต่ผู้ตายกลับปัดปฏิเสธแล้วยังพูดว่า “หนูไม่ตายก็รวย” จึงถูกนางไพรัตน์ ตบตีและทำร้ายจนเสียชีวิต
ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ รับไว้ดำเนินคดี และเตรียมขยายผลสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือมำดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (5 มี.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น. พ.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม พร้อมด้วย พ.ต.อ.สานิตย์ มหถาวร รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา รอง ผกก.5 บก.ป.และ พ.ต.ต.ศตยุ ไชยสุวรรณ์ สว.กก.5 บก.ป. แถลงข่าวจับกุม นายสุทัศน์ พานทอง อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 190/45 หมู่ 6 ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 155/1/2553 ลงวันที่ 2 มีนาคม 2553 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จับกุมได้ที่ที่ปั๊มน้ำมันเอสโซ่ จ.นครสวรรค์
พ.ต.อ.สานิตย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้ต้องหาได้ร่วมกับ นางไพรัตน์ พุทธเกิด อายุ 45 ปี นายสำเริง พวงเล็ก อายุ 37 ปี และนางวาสนา พุกพันธ์ อายุ 38 ปี ก่อเหตุฆ่า น.ส.จันทิมา พวงเล็ก อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของนางไพรัตน์เสียชีวิตบริเวณลานดินหลังหมู่บ้านบางปูนคร หมู่ 9 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ส่วนสาเหตุมาจากความหึงหวง หลังจากนางไพรัตน์จับได้ว่า น.ส.จันทิมา ไปติดพันกับสามีตน จึงร่วมกันอุ้มตัวผู้เสียชีวิตจากห้องพักย่านงามวงศ์วานไปฆ่าทิ้งอย่างโหดเหี้ยม
พ.ต.อ.สานิตย์ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นศาลจังหวัดสมุทรปราการอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 รายแล้ว ทางชุดสืบสวน กก.5 บก.ป.ได้รับการติดต่อจากญาติของนายสุทัศน์ว่าจะพานายสุทัศน์เข้ามอบตัวเพื่อขอต่อสู้คดี โดยนัดหมายกันที่ปั๊มน้ำมันเอสโซ่ กระทั่งนายสุทัศน์ได้เดินทางมาตามนัดหมายจริง แต่ตำรวจได้ซุ่มรอและเข้าจับกุมตัวไว้ ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวนดำเนินคดีที่ บก.ป.
จากการสอบสวนนายสุทัศน์ให้การว่า ตนเป็นเจ้าของกิจการรถร่วมบริการสายหนามแดง-สมุทรปราการ มีรถอยู่ 10 คัน ส่วนในวันเกิดเหตุนางไพรัตน์ แม่ยายชวนตน นายสำเริง และ นางวาสนา ไปเคลียร์กับ น.ส.จันทิมา ที่หอพักย่านงามวงศ์วาน หลังจับได้ว่ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสามีซึ่งเป็นเจ้าของร้านรับซื้อของเก่า เมื่อไปถึงได้เรียกผู้ตายขึ้นรถ ก่อนบอกให้หลานสาวเลิกยุ่งเกี่ยวกับสามี แต่ผู้ตายกลับปัดปฏิเสธแล้วยังพูดว่า “หนูไม่ตายก็รวย” จึงถูกนางไพรัตน์ ตบตีและทำร้ายจนเสียชีวิต
ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ รับไว้ดำเนินคดี และเตรียมขยายผลสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือมำดำเนินคดีต่อไป
