เที่ยงวันที่ 8 ก.พ. "กิตติพงษ์ ทั่งสุวรรณ" วัย 22 ปี เดินตามพ่อไปสูบน้ำจากบ่อ เพื่อหาปลา บริเวณป่าหญ้ารกชัฎภายในซอยเบนชะโด 3 เขตคลองสามวา กทม. ทว่าเขาก้าวเท้าไม่ทันผู้เป็นพ่อ ทำให้หาทางเข้าไปยังจุดหมายไม่ได้ แต่ก็ไม่ละความพยายาม เขาเดินอ้อมไปเรื่อยๆเพื่อไปยังบ่อปลาที่พ่อรออยู่ แต่ยังไม่ทันถึง ก็มองเห็นซากรถเก๋ง ที่ถูกไฟไหม้หมดทั้งคัน ยังคงเหลือเพียงควันไฟบริเวณล้อรถอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้เขาเดินไปจับบริเวณฝากระโปรงรถ และได้รับรู้ถึงไอความร้อนที่ยังไม่มอดสนิทลง แต่เมื่อมองเข้าไปในรถ หัวใจเขาแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ภาพที่เห็น เป็นศพนอนคุดคู้อยู่บริเวณพื้นรถด้านเบาะหลัง ในสภาพไหม้เกรียม เหลือแต่โครงกระดูก!
"กิตติพงษ์" ลืมเรื่องบ่อปลาไปสนิท เขาไม่รอช้า รีบแจ้นออกไปโทรศัพท์ ถึงตำรวจสน.นิมิตรใหม่ในทันที ถัดจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ พ.ต.ท.วีระชัย หล่าสกุล พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.นิมิตรใหม่ ก็เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ พร้อมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย เนื่องจากสภาพศพที่ถูกพบ ต้องเป็นคดีอาชญากรรมที่เหี้ยมโหดแน่นอน จึงไม่แปลกใจที่ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.มานัส ศัตรูลี้ พ.ต.อ.ธนกฤต โภควนิช พ.ต.อ.สมบูรณ์ ยุทธพงษ์ รอง ผบก.น.3 พ.ต.อ.ธัมรงค์ วงศ์แป้น ผกก.บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.จำลอง สว่างวงศ์ ผกก.สส.บก.น.3 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.นิมิตรใหม่ และกก.สส.บก.น.3 เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวชจากโรงพยาบาลตำรวจ เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกัตญญู พากันไปเต็มบริเวณที่เกิดเหตุ
บริเวณที่เกิดเหตุ อยู่ลึกเข้าไปจากถนนประมาณ 100 เมตร เมื่อตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่า รถคันที่ถูกเผาเหลือแต่ซาก เป็นรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ ในสภาพถูกไฟไหม้เสียหายทั้งคัน ส่วนภายในรถพบศพผู้เสียชีวิต อยู่บริเวณพื้นรถเบาะหลัง ในสภาพนอนตะแคงคุดคู้ ไหม้เกรียมจนเหลือแต่โครงกระดูก ทั้งยังพบขวดสุรายี่ห้อชีวาส รีกัล 1 ขวด โซดา 1 ขวด นาฬิกาแบบผู้ชายสายโลหะยี่ห้อคาสิโอ เข็มสั้นอยู่ระหว่างเลข 4 กับ 5 เข็มยาวอยู่ที่เลข 2 จำนวน 1 เรือน และเศษซองยาอีกหลายชิ้น จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ ในที่เกิดเหตุ ยังพบเศษกระจกของรถเปื้อนเลือดตกอยู่ใกล้กับรถ และถุงพลาสติกใส่กาวหลายถุง ก้นกรองบุหรี่หลายมวน กระดาษฟอยล์สำหรับเสพยาบ้าอีกหลายชิ้น ตกอยู่รอบบริเวณจุดเกิดเหตุ
ทีมสืบสวนของบก.น.3 และ สน.นิมิตรใหม่ ไม่รอช้า รีบเช็กหมายเลขตัวถังในทันที จากนั้นไม่นาน ก็ได้ข้อมูลสรุปว่า ซากรถเก๋งคันดังกล่าว เป็นรถโตโยต้า คัมรี่ สีฟ้า หมายเลขทะเบียน 3ฬ-2693 กทม. มีนายประสาท มัชฉิมานนท์ อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24/99 หมู่ 9 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน เป็นผู้ครอบครอง ทีมสืบสวนอีกชุดรีบเดินทางไปยังบ้านของผู้ครอบครองรถในทันที และได้พบกับ นางพะเยาว์ มัชฉิมานนท์ อายุ 60 ปี ภรรยาของนายประสาท จึงเชิญตัวมาสอบปากคำที่โรงพัก ซึ่งเบื้องต้นนางพะเยาว์ให้การว่า สามีเคยเป็นพนักงานธนาคารกสิกรไทย สาขามีนบุรี แต่เกษียณก่อนอายุออกมาเปิดร้านมินิมาร์ทย่านบางเขน และปล่อยเงินกู้ทั่วไป โดยเมื่อวันที่ 7 ก.พ. สามี ออกจากบ้านไปเมื่อเวลา 11.00 น.จนกระทั่งเวลาประมาณ 19.00 น.ก็ไม่สามารถมาติดต่อได้ และขณะนี้ ก็ยังไม่กลับบ้าน แต่ตามปกติแล้วสามีจะพบปืนไป 2 กระบอก เป็นแบบลูกโม่กับแมกกาซีนอย่างละกระบอก แต่ภายในซากรถกลับไม่พบปืนทั้ง 2 กระบอก ส่วนศพที่พบในรถ ค่อนข้างมั่นใจว่า เป็นศพสามีของตนเองจริง เนื่องจากดูรูปพรรณสันฐานแล้ว ค่อนข้างมั่นใจว่า"ใช่" ส่วนสาเหตุนั้นสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องที่ กิ๊กเก่าของสามี มาขอกู้เงินไปเป็นจำนวนถึง 1 ล้านบาท ซึ่งสามีกำลังตามทวงหนี้จำนวนนี้อยู่
ทีมสืบสวนเร่งทำงานกันอย่างคร่ำเครียด เนื่องจากพฤติกรรมของคนร้ายค่อนข้างโหดเหี้ยม เข้าลักษณะ"เผาทั้งเป็น" โดยทีมสอบสวนมุ่งไปที่ประเด็น "ฆ่าล้างหนี้" ตามคำบอกเล่าของภรรยาผู้ตายเป็นหลัก จากนั้นอีกเพียงแค่ 1 วัน ทีมสืบสวนก็ประสบความสำเร็จ สามารถตามจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย รายแรกเป็น "ส.ท.วัชระ หรือเอ บุญฤทธิ์" อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 169 หมู่ 2 ต.ปากคม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ทหารสังกัด พล.ร.11 ฉะเชิงเทรา และ "น.ส.สุวารี หรือนะ เด่นซอ" อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/67 ซอยสุเหร่าคลองหนึ่ง 10 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา ทั้งคู่เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี เลขที่ 141-142/2553 ลงวันที่ 9 ก.พ.2553 ตามลำดับ ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลอบฝัง ซ่อนเร้น หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้าเวฟ สีดำ หมายเลขทะเบียน 338 - ตรัง เงินสด 43,000บาท และโทรศัพย์มือถือ ยี่ห้อโนเกียอีก 1 เครื่อง
ตำรวจระบุถึงการจับกุมผู้ตองหาทั้ง 2 รายว่า จากการสืบสวนพบว่า นายประสาท ผู้ตาย เคยมีความสัมพันธ์กับ น.ส.สุวารี ซึ่งขายข้มมันไก่อยู่ในตลาดมีนบุรี จึงได้เชิญตัวมาสอบปากคำอยู่นานหลายชั่วโมง แต่น.ส.สุวารี ให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่า รู้จักจนสนิทสนมและมีความสัมพันธ์กับผู้ตายมานานกว่า 10 ปีแล้ว
น.ส.สุวารีให้การว่า หลังจากผู้ตาย เกษียณก่อนอายุงานนั้น ผู้ตาย มาเปิดกิจการมินิมาร์ท และปล่อยเงินกู้ ในฐานะที่เพื่อนสาวคนสนิท จึงได้ขอยืมเงินจากผู้ตาย จำนวน 200,000 บาท ไปลงทุนทำกิจการค้าขายอาหารสัตว์ย่านนิมิตรใหม่ รวมทั้งให้เช่าวินรถตู้โดยสาร แต่กิจการขายอาหารสัตว์เกิดประสบภาวะขาดทุนต้องเลิกกิจการไป ผู้ตายจึงยึดรถตู้ของตนไป 1 คัน
"หลังจากนั้น ดิฉันมาขายข้าวมันไก่ ที่ตลาดมีนบุรี จนกระทั่งก่อนหน้านี้ประมาณ 3 เดือน มารู้จักกับ ส.ท.วัชระ และมีความสัมพันธ์สนิทสนมกันพอสมควร ดิฉันจึงคิดอยากเลิกกับผู้ตายเพื่อมาคบหากับ ส.ท.วัชระอย่างเปิดเผย ดังนั้นในวันที่ 7 ก.พ. จึงนัดนายประสาท ให้มาตกลงเรื่องรักสามเส้าที่ศาลาใกล้บ่อตกปลาเรือนแพฟิชชิ่งปาร์ค ถนนประชาร่วมใจ แต่ไม่คิดว่า ส.ท.วัชระ จะใช้ไม้ตีนายประสาทจนเสียชีวิต ซึ่งหลังจากนายประสาทเสียชีวิตแล้ว ดิฉันลงไปดูต้นทางให้ ก่อนที่ ส.ท.วัชระจะลากศพผู้ตายขึ้นรถแล้วขับไปยังจุดที่พบศพ จากนั้นดิฉันลงไปจากรถ ที่หน้าปากซอย ส่วน ส.ท.วัชระ ขับรถเข้าไปป่าหญ้ารกทึบเพื่อเผาศพผู้ตายทิ้งพร้อมกับรถ และออกมาจากที่เกิดเหตุ นั่งรถไปด้วยกัน เพื่อไปเปิดโรงแรมนอน ก่อนจะแยกย้ายกันไป จนกระทั่งมาถูกตำรวจมาเชิญตัวไปสอบปากคำ"น.ส.สุวารี ให้การ
ขณะที่น.ส.สุวารีให้การภาคเสธว่าไม่ได้มีส่วนร่วมสังหารนายประสาทชนิดเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์นั้น แต่ส.ท.วัชระกลับให้การยอมรับสารภาพอย่างชัดเจนมีน้ำหนักว่า รู้จักกับ น.ส.สุวารี มาได้ประมาณ 3 เดือนเศษ โดยน.ส.สุวารี เคยให้สัญญาไว้ว่า จะซื้อปืนกับรถเก๋งให้ แต่ต้องแลกกับการทำงานให้อย่างหนึ่ง คือฆ่านายประสาท คนรักเก่าเสี จากนั้นจึงมีการวางแผนกัน ก่อนที่น.ส.สุวารี จะโอนเงินมาให้ล่วงหน้า 16,000 บาท เมื่อได้เงินมา จึงได้ขี่รถจยย.ตระเวนหาที่ทิ้งศพ จนกระทั่งมาเจอทุ่งหญ้ารกทึบในซอยแบนชะโด 3 จึงเข้าไปจอดรถจยย.ทิ้งไว้ที่นั่น ก่อนนั่งแท็กซี่เข้ามาซ่อนตัวอยู่ในศาลาริมทาง ใกล้กับบ่อตกปลาชื่อเรือนแพ ฟิชชิ่งปาร์ค
"หลังจากน.ส.สุวารี นั่งรถพา นายประสาทมาที่ศาลา ทั้งคู่ก็นั่งคุยกัน ก่อนที่ น.ส.สุวารีจะนวดให้นายประสาทอยู่นานประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้น น.ส.สุวารี ส่งสัญญาณให้ผมย่องไปข้างหลัง แล้วใช้ไม้ตีนายประสาทหลายครั้งจนแน่นิ่งไป น.ส.สุวารี ก็ออกไปดูต้นทางให้ ส่วนผมค่อยๆ ลากนายประสาทไปใส่ไว้ที่พื้นรถด้านหลังรถเก๋งแล้วขับไปยังจุดที่เผารถ ในซอยแบนชะโด 3 ปล่อยให้ น.ส.สุวารี ลงจากรถไปก่อนที่หน้าปากซอย ส่วนผมก็ขี่รถ.จยย.ออกไปหาซื้อน้ำมันจากปั้มหลอดย่านนั้น แล้วกลับมารื้อค้นเอาทรัพย์สินของนายประสาทที่ติดตัวไป ก่อนจะเอาน้ำมันราดตัวและราดรถทั่วทั้งคัน และจุดไฟเผาทิ้งทั้งรถทั้งคน"ส.ท.วัชระรับสารภาพ
แม้คำให้การของทั้งคู่ดูจะขัดแย้งกัน แต่พ.ต.ท.วีระชน หล่าสกุล พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.นิมิตรใหม่ เจ้าของคดีให้ทัศนะว่า ส.ท.วัชระ ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ให้การสารภาพทุกขั้นตอนตั้งแต่ การนัดแนะกับ น.ส.สุวารี ขั้นตอนการทำร้ายร่างกายนายประสาท จนถึงขั้นตอนของการนำศพไปทิ้งและจุดไฟเผาอำพรางคดี ซึ่งพนักงานสอบสวนให้น้ำหนักกับคำให้การของฝ่ายชายมากกว่า เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่แต่สามารถให้รายละเอียดถึงจุดนัดพบต่างๆ ทั้งร้านอาหาร จุดพบศพ และจุดที่นำบัตรเอทีเอ็มของผู้ตายไปกดเงินได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งเมื่อวานนี้ (9 ก.พ.) ก็ยังบอกว่า ยังมีเงินสดอีก 1 แสนบาท ที่กดจากเอทีเอ็มของผู้ตาย ซ่อนไว้ในบ้านพักภายในแฟลตทหาร ในค่ายศรีโสธร จ.ฉะเชิงเทรา ตำรวจจึงประสานไปยังต้นสังกัดให้เข้าตรวจค้น ก็พบว่ามีเงินจำนวนดังกล่าวอยู่จริงและได้คืนมาแล้ว
ขณะเดียวกัน หลังถูกจับกุม มีญาติของส.ท.วัชระเดินทางเข้าเยี่ยม พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลว่า ที่ส.ท.วัชระ ทำลงไป เพราะฝ่ายหญิงบอกว่ารักส.ท.วัชระ และอยากจะอยู่ด้วยกัน แต่เป็นฝ่ายนายประสาทที่ไม่ยอมเลิก แถมขู่ว่าถ้าเลิกกันจะยิงให้ตาย เลยกลัวความแตก ส.ท.วัชระจึงชิงลงมือก่อน โดย น.ส.สุวารี เป็นคนวางแผนทั้งหมด ทั้งยังเป็นคนพา ส.ท.วัชระ ไปดูจุดต่างๆ ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ซึ่ง ส.ท.วัชระ ก็สำนึกผิดและได้สารภาพความจริง พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับตำรวจทั้งหมดแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.จำลอง สว่างวงศ์ ผู้กำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 (ผกก.สส.บก.น.3) เปิดเผยถึงเบื้องลึกในการติดตามจับกุมชู้รักต่างวัยใจโหดคู่นี้มาดำเนินคดีได้ใระยะเวลาอันรวดเร็วว่า หลังเกิดเหตุได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.น.3 ไปตรวจจุดเกิดเหตุ ก็พบซากรถเก๋งถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งคัน และในที่เกิดเหตุก็ไม่เจอป้ายทะเบียนบ่งบอกว่า รถคันนี้หมายเลขทะเบียนอะไร แต่ยังดีที่หมายเลขตัวถังของรถไม่ได้ถูกเผาไหม้จนละลายไปด้วย จึงทำให้ตรวจสอบข้อมูลรถคันนี้ได้
เมื่อตรวจสอบพบว่า รถยนต์คันนี้คือ รถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีฟ้า หมายเลขทะเบียน 3ฬ-2693 กทม. ที่มีนายประสาท เป็นเจ้าของรถ ทางเจ้าหน้าที่ก็เดินทางไปยังบ้านพักของนายประสาท ที่ย่านบางเขน พร้อมทั้งเชิญตัวนางพะเยาว์ มัชฉิมานนท์ ภรรยาของนายประสาท มาสอบปากคำ ในเบื้องต้นนางพะเยาว์ ก็ยังไม่ทราบเรื่องอะไรมาก บอกแต่เพียงว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ. สามี ออกจากบ้านไปเมื่อเวลา 11.00 น. เพื่อไปเก็บเงินกู้ แต่ไม่รู้ว่าไปเก็บดอกหรือเงินต้น จนกระทั่งเวลาประมาณ 19.00 น.ก็ไม่สามารถมาติดต่อได้แล้ว และก็ยังไม่กลับบ้านด้วย แต่จากการตรวจสอบสภาพโดยทั่วไปแล้ว นางพะเยาว์ เชื่อว่า ศพผู้ตายที่ถูกเผาอยู่ในรถน่าจะเป็น นายประสาท สามีของตัวเอง
"นอกจากนี้เรายังได้ข้อมูลสำคัญจากญาติของนายประสาท ที่เป็นอดีตนายตำรวจท่านหนึ่ง ว่า นายประสาทเคยให้เงินกับหญิงสาวคนหนึ่ง ทำให้รู้ว่า นายประสาท เคยให้เงิน น.ส.สุวารี หรือนะ เด่นซอ แม่ค้าขายข้าวมันไก่ในตลาดมีนบุรี วัย 34 ปี กิ๊กเก่าของนายประสาทเอง กู้ยืมไปจำนวนหนึ่ง ทำให้เรามุ่งประเด็นไปที่เรื่องเงินกู้ และคดีนี้อาจจะเป็นการฆ่าล้างหนี้ก็เป็นได้ จึงออกไปติดตามตัวหาตัว น.ส.สุวารี เพื่อมาสอบปากคำว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่" พ.ต.อ.จำลอง กล่าว
พ.ต.อ.จำลอง กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็พบตัว น.ส.สุวารี กำลังขายข้าวมันไก่ อยู่ที่ตลาดมีนบุรี เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาสอบสวนที่กองสืบ 3 ทันที โดยตอนแรกที่เชิญตัวมา น.ส.สุวารี ยังไม่ยอมบอกอะไรกับตำรวจมากนัก บอกแต่เพียงว่า ส.ท.วัชระ เป็นคนลงมือฆ่านายประสาท แต่เจ้าตัวก็หลุดพูดออกมาว่า "จะฆ่าล้างหนี้ได้อย่างไร ในเมื่อฉันยังเอาเช็คสองใบ จำนวนเงินใบละ 1 แสนบาท ไปวางไว้ให้นายประสาท ส่วนเรื่องรถตู้นั้นนายประสาทก็ยึดไปเป็นการหักกลบลบหนีไปแล้ว"
ตำรวจเลยให้ น.ส.สุวารี ช่วยติดตามตัว ส.ท.วัชระ มาสอบปากคำ เพราะไม่เช่นนั้นจะเดือดร้อน น.ส.สุวารี จึงยอมเป็นคนติดต่อให้ ส.ท.วัชระ ออกมาเจอหน้ากันที่บริเวณหน้าที่ 108 ช็อป ถนนวัดโสธร ต.หน้าวัดโสธร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อส.ท.วัชระ ออกมาพบตามนัด ตำรวจก็เชิญตัวมาสอบปากคำทันที และเมื่อ ส.ท.วัชระ สารภาพทุกอย่างจนหมดเปลือก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการวางแผน วิธีการลงมือฆ่า หรือการนำรถไปเผาทิ้งศพ ตำรวจก็เดินทางไปขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดมีนบุรี เพื่อจับกุมชู้รักต่างวัยคู่นี้ทันที
นี่คือบทสรุปของการปิดคดีสุดอำมหิตได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง