เจ้าของธุรกิจขายอะไหล่ จยย.จูงมือลูกชายเข้าร้องสื่อมวลชนลูกชายถูก ตร.ปราจีนบุรี ซ้อมให้รับสารภาพคดีวิ่งราวทองหนัก 3 บาท จนอัยการสั่งไม่ฟ้อง ตระเวนเดินสายร้องทวงความยุติธรรมมาแล้วหลายหน่วยแต่เรืองไม่คืบ ซ้ำมีนักการเมืองท้องถิ่นเสนอ 1 แสนให้หยุดเอาเรื่อง ขู่จะขุดคดีเก่ามาฟ้องใหม่ วอนหน่วยงานยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
วันนี้ (21 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร อายุ 19 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ ชื่นจิตร อายุ 48 ปี เจ้าของธุรกิจขายอะไหล่รถจยย. บิดา นำเอกสารต่างๆ พร้อมด้วยซีดีภาพ ร้องสื่อมวลชนว่าถูกเจ้าหน้าที่สืบสวน สภ.เมืองปราจีนบุรี ซ้อมให้รับสารภาพวิ่งราวทองหนัก 3 บาท แม้อัยการจะสั่งไม่ฟ้องแล้วยังถูกข่มขู่ให้หยุดเอาเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าว
นายฤทธิรงค์เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค.52 ตนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปราจีนบุรี 3นาย ซ้อมให้รับสารภาพว่าวิ่งราวทองหนัก 3 บาทไป บริเวณทางแยกถนนกลับรถใต้สะพานข้ามสะพานแม่น้ำปราจีนบุรี แต่ในที่สุดพนักงานสอบสวนก็สั่งไม่ฟ้องเสนอไปยังอัยการก็สั่งไม่ฟ้องเช่นกัน หลังจากนั้นตนต้องการความยุติธรรมให้กับตนเอง โดยร้องเรียนไปที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี สำนักงานยุติธรรม จ.ปราจีนบุรี กระทรวงยุติธรรม และร้องเรียน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 10 มี.ค.52 แต่ขณะนี้เรืองผ่านมาจะครบ 1 ปีแล้ว ไม่มีหน่วยงานใดให้ความยุติธรรมได้เลย หนำซ้ำตนและพ่อยังถูกลุ่มคนมาขู่ทำร้ายว่าให้ยอมความและหยุดร้องเรียนด้วย
“ในตอนแรกผมหมดหวังคิดว่าแผ่นดินนี้คงมีความยุติธรรมให้เฉพาะพวกคนมีสี แต่หลังจากที่ผมได้อ่านพระดำรัสของพระองค์ภา เจ้าหญิงนักกฎหมายไทยบางตอน ก็ทำให้มีความหวังที่จะเรียกความยุติธรรมคืนมา และได้ถวายหนังสือร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกับพระองค์ด้วย” นายฤทธิรงค์กล่าว
ด้าน นายสมศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้สร้างความทุกข์กังวลใจให้ครอบครัวมาก ลูกชายต้องการความยุติธรรม เพราะโดนซ้อมหนัก ทั้งโดนหนังสือปาหน้า ถุงดำครอบศีรษะแล้วซ้อม เหยียบที่กุญแจมือที่ไพล่หลัง นับเป็นเหตุการณ์เฉียดตายของลูกชาย แต่หลังจากร้องเรียนแล้วก็ไม่มีหน่วยงานใดดำเนินการใดๆ ซ้ำร้ายยังมีนักการเมืองท้องถิ่นเป็นตัวกลางมาเจรจาให้หยุดร้องเรียน โดยเสนอเงินให้ 1 แสนบาท แต่พวกตนก็ไม่ยอม ต่อมาก็โดนกลุ่มคนโทรศัพท์มาขู่ทำร้าย และมีชายฉกรรจ์อ้างตัวเป็นตำรวจกองปราบฯ มาเจรจาบอกว่าจะนำเรื่องคดีของลูกชายขึ้นมาอีกครั้ง เพราะขณะนี้แม้อัยการจะไม่สั่งฟ้องแล้วแต่ยังไม่จบกระบวนการเนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่ได้เซ็นรับทราบ ซึ่งการร้องเรียนครั้งนี้ก็หวังว่าจะมีหน่วยงานใดเข้ามาดำเนินการและให้ความยุติธรรมแก่ครอบครัวของตน