ทันทีที่อัยการสั่งฟ้อง"พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม" ผบช.ภ.5 กับพวก รวม 5 คน ตกเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ฐานร่วมกันฆ่านายโมฮัมเหม็ด อัลรู ไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ที่หายตัวไปเมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ฝ่ายตรงข้าม(พลพรรคเสื้อแดง)ต่างสะใจ พร้อมเรียกร้องให้ดำเนินการพักราชการ "สมคิด บุญถนอม"ทันที
คดีอุ้มฆ่า"โมฮัมเหม็ด อัลรู ไวรี่"ถือว่าไม่ใช่คดีธรรมดา แต่เป็นคดีพิเศษ ที่ได้เกิดขึ้นในยุครัฐบาล"ทักษิณ ชินวัตร"โดยที่คนระบอบทักษิณครองอำนาจในกรมสอบสวนคดีพิเศษ อีกทั้ง ความพยายามสืบค้นหาหลักฐาน เพื่อใช้มัดตัวกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา ได้ดำเนินการอย่างเงียบๆ โดยที่ ณ เวลานั้นสื่อเกือบทุกสำนักไม่สนใจ เพราะเขาเชื่อว่า คดีนี้มีเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองในพื้นที่ภาคเหนือเข้ามาเกี่ยวข้องล้านเปอร์เซ็นต์
วันนี้แม้ระบอบทักษิณ จะหมดอำนาจลง แต่สำนวนการสอบสวนภายใต้การสั่งการของ"ทวี สอดส่อง"อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เดินทางสู่กระบวนศาลยุติธรรม ขณะที่"สมคิด บุญถนอม"ยืนยันเสมอว่า เขาคือผู้บริสุทธิ์ และยินดีที่จะให้สังคมและประชาชนตรวจสอบและพิสูจน์ความจริง ผ่านกระบวนการยุติธรรมเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แม้ยกแรก...คนระบอบทักษิณ(ทวี สอดส่อง)จะชนะด้วยการเปลี่ยนสภาพ"สมคิด บุญถนอม"จากผู้ต้องหา มาเป็น จำเลย ก็ตามที
แต่สำหรับยกสอง...การพักราชการ หรือ ให้ออกจากราชการ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย...
กล่าวคือ...ไม่ง่ายที่คดีนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยที่"สมคิด บุญถนอม"ผู้ถูกกล่าวหาในครั้งนั้น ครั้งที่ปราศจากขบวนการกลั่นแกล้งทางการเมือง ปราศจากระบอบทักษิณ เขาคือผู้บริสุทธิ์ ด้วยการสั่งไม่ฟ้อง
ไม่ง่ายที่การรื้อฟื้นคดีเพื่อเอาผิด"สมคิด บุญถนอม"เกิดจากบัญชาของการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่เขาเชื่อว่า"สมคิด บุญถนอม"คือคนของ คมช.เหตุเพราะ"สมคิด บุญถนอม"เขาคือน้องชาย"พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม"อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ที่คนเสื้อแดง เชื่อว่า เขาคือคนเสื้อเหลือง เขาคืนคนที่ยืนอยู่ข้างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ไม่ง่ายที่"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"นายกรัฐมนตรี พูดว่า การพักราชการหรือไม่ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหลากหลาย อยู่ที่กฎหมายตำรวจกับผู้บังคับบัญชาซึ่งสอดรับกับกองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มองเรื่องนี้ว่า การพิจารณาโทษต้องดูว่าการต้องคดี หรือถูกกล่าวหานั้นมีมูลเหตุมาจากอะไร จากการปฏิบัติหน้าที่หรือเรื่องส่วนตัว ซึ่งการพิจารณาต้องอาศัยกฎหมายหลายฉบับ ทั้ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และกฎ ก.ตร.ที่ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโทษทางวินัย และต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา เพื่อพิจารณาโทษ
20 ปีของคดีความ เมื่อเทียบกับ 20 ปีของเส้นทางชีวิตของ พ.ต.ท.สมคิด ในขณะนั้น ถือว่าได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานมาโดยตลอดหลังกลับเข้ารับราชการเมื่อปี 2537 ถัดมา 1 ปี ติดยศ พ.ต.อ.นั่ง ผกก.สน.ประเวศ โชว์ผลงานจับกุม"สมพงษ์ เลือดทหาร"เป็นคดีโด่งดังในขณะนั้น ต่อมาย้ายไปเป็น รองผบก.สปพ.191(ขณะนั้น)ก่อนได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ในปี 2543 ครองยศ พล.ต.ต.ในยุค"พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์"เป็น ผบ.ตร.จากนั้นถูกย้ายไปเป็น ผบก.อำนวยการ สนว.ก่อนขยับขึ้นเป็นรองผบช.ศ.ตามลำดับ
ปี 2550 ขึ้นยศ พล.ต.ท.นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการประจำสำนักงาน ผบ.ตร.ดูแลงานด้านยุทธศาสตร์ สมัย "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส"เป็น ผบ.ตร.
ครั้งเกิดรัฐประหารโค่นล้ม "ทักษิณ ชินวัตร"โดยมี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม พี่ชายร่วมสายเลือดของ"สมคิด"คือผู้มีอำนาจในกลไกสำคัญในการทำลายล้างระบอบทักษิณ พลพรรคเสื้อแดง
ปี 2552 พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จึงผงาด นั่งคุมพื้นที่ภาคเหนือ ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงฐานเสียงของทักษิณ ถูกจับตาทุกฝีเก้าในการเคลื่อนไหว ทำให้รัฐบาลประชาธิปัตย์รับประโยชน์แบบเต็มๆ
ดังนั้น วันนี้ แม้ท้ายคำฟ้อง "สมคิด บุญถนอม"และพวก เขาจะถูกกล่าวหาว่า...จำเลยทั้งห้ามีเจตนาฆ่านายโมฮัมเหม็ด อัลรู ไวรี่ จนถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อปกปิดความผิดของตนในความผิดที่จำเลยร่วมกันลักพาตัวนายโมฮัมเหม็ด อัลรู ไวรี่ มาหน่วงเหนี่ยวกักขัง และทำร้ายร่างกาย เพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้น ในความผิดอื่นที่ตน
ได้กระทำไว้ดังกล่าวมา...
แต่สำหรับการพิจารณาโทษพักราชการ หรือ ให้ออกจากราชการ เป็นคนละเรื่องกับคดีความ ที่จำเลย พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเขาในกระบวนการศาล
เพราะหาก"สมคิด บุญถนอม"ถูกพักราชการ หรือ ให้ออกจากราชการ ในระหว่างการพิจารณาคดีในศาล ที่ยังไม่รู้ว่า คดีความคดีนี้จะจบสิ้นกระบวนการศาลฎีกาเมื่อใด และหากสุดท้าย"สมคิด บุญถนอม"เขาคือผู้บริสุทธิ์ และใครจะรับผิดชอบ
ดังนั้น เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะอาจจะตกเป็นเครื่องมือของคนระบอบ"ทวี-ทักษิณ"แบบไม่ตั้งใจ
เพราะหากท้ายสุด"สมคิด บุญถนอม"ถูกพักราชการ หมดอำนาจคุมพื้นที่ภาค 5 (ภาคเหนือ)แล้วอะไรจะเกิดขึ้น นี่คือโจทก์ ข้อใหญ่ที่"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ปทีป ตันประเสริฐ" ต้องขบคิดและตีให้แตก