ไม่มีใครคาดคิดว่า ในงานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพนายอุดร ภู่ระหงษ์ อายุ 29 ปี สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล( อบต.)บ้านอิฐ บนศาลการเปรียญวัดสุธาดล หมู่ 7 ต.บ้านอิฐ อ.เมือง จ.อ่างทอง ของคืนวันที่ 31 ธ.ค.2552 อันเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2553 จะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นบนศาลาการเปรียญแห่งนี้
ราว 3 ทุ่มของคืนวันที่ 31 ธ.ค. นายปทุม อยู่ประเสริฐ อายุ 76 ปี ชาวบ้านหมู่ 3 ต.บ้านรี อ.เมือง จ.อ่างทอง ก่อเหตุไม่คาดคิดขึ้นภายในเขตอภัยทาน โดยนายปทุมใช้อาวุธปืนยิง ร.ต.ต.กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่าง หรือ จ๊อด กองปราบ นายก อบต.บ้านอิฐ เข้าที่ศีรษะ 3 นัด และนายอนุชา จันทร์จรูญ หรือเอิร์ท อายุ 22 ปี ลูกน้องคนสนิทของจ๊อด กองปราบ ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 2 นัด รวมทั้งนายอนุชา หรือ โจ สินทรัพย์สกุล อายุ 34 ปี ลูกน้องอีกคน ถูกยิงเข้าที่หน้าอก 2 นัด และเข้าที่หลังอีก 2 นัด ไปสิ้นใจตายที่โรงพยาบาล
วันรุ่งขึ้น หน้า 1 หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับพาดหัวข่าว"ดับจ๊อด กองปราบพวกพวกรวม 3 ศพ" พร้อมรายละเอียดข่าว รวมทั้งการคาดเดาประเด็นปมสังหารไปต่างๆนานา จนปัจจุบันเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ยังไร้วี่แววปมสังหารที่แท้จริงในคดีนี้ เนื่องจาก ตำรวจยังไม่สามารถติดตามจับกุมนายปทุม มือปืนเฒ่าวัย 76 ปีมาสอบสวนได้ ซึ่งคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของระบบสืบสวนสอบสวนของตำรวจต่อไป แต่ในคดีนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยว่า "จ๊อด กองปราบ" เป็นใคร มาจากไหน ไฉนสื่อถึงให้ความสนใจนักหนา
ในแวดวงนักสืบ ตั้งแต่ระดับนายใหญ่ มาจนถึงลูกแถว น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกิตติศัพท์ของ"จ๊อด กองปราบ" ร.ต.ต.กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่าง อดีตนายดาบตำรวจกองปราบ ที่ลาออกจากราชการด้วยมรสุมหลายด้าน ขอไปติดยศร.ต.ต. และเดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองท้องถิ่น...เราจะพาไปรู้จักกับตัวตนของ"จ๊อด กองปราบ"กันสักตั้ง ว่าทำไม ตลอดชีวิตการทำงานด้านการสืบสวนของเขา จึงกลายเป็นตำนานให้เหล่านักสืบรุ่นหลังได้เล่าสู่กันฟังตลอดมา
ร.ต.ต.กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่าง เป็นชาวอ่างทองโดยกำเนิด ชีวิตในวัยเยาว์ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน ด.ช.จ๊อด ต้องผันตัวไปพึ่งข้าวก้นบาตร ด้วยการเป็นเด็กวัดแปดแก้ว ต.หัวสะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ผ่านการรับจ้างทั้งงานหนักงานเบา เพื่อหาเงินเรียนหนังสือ ไม่เว้นแม้กระทั่งขึ้นสังเวียนบนผืนผ้าใบแลกเอาเงินตราด้วยความเจ็บปวดในชื่อ"แดงพันธุ์ ลูกเจ้าพระยา" แต่เส้นทางกลิ่นเหงื่อสาปนวมไม่รุ่งเท่าที่ควร จนกระทั่งถึงวัยเกณฑ์ทหาร จึงตัดสินใจสอบเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจ ของโรงเรียนตำรวจนครบาลรุ่น 34 ที่ปัจจุบันมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นถึงพล.ต.อ.-พล.ต.ต. อย่างพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร. พล.ต.อ.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และพล.ต.ต.ปราโมช ปทุมวงศ์ รองผบช.ปส. ที่ภายหลังเพื่อนร่วมรุ่นของเขาสอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.)รุ่น 26 ได้ ในขณะที่ตัวเขา เข้ารับราชการ และเติบโตไปตามครรลองของระบบ ภายใต้เส้นแบ่ง"ตำรวจชั้นประทวน"
กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191 เป็นหน่วยงานแรกภายในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของ"จ๊อด กองปราบ" โดยประจำอยู่แผนกอาวุธและอุปกรณ์พิเศษ อยู่ต่อมาไม่นานก็ได้ขึ้นชั้นเป็นหน่วยสวาท ทำหน้าที่เป็นสไนเปอร์ "มือสังหาร"!
"จ๊อด กองปราบ" เคยเปิดใจกับ COP'S MAGAZINE ไว้ว่า สมัยเป็นสายตรวจอยู่ 191 ถ้ามีวิสามัญฯ เขารู้เลยว่า ใครทำ เพราะจะเลือกปราบปรามอย่างเด็ดขาด ทั้งแก๊งลักพระ ลักรถ จน"นาย"เห็นแววนักสืบ จึงดึงไปช่วยแผนกสืบสวนพิเศษ ผ่านประสบการจับตาย"ขุนโจรม้าขาว" ย้ง แซ่ฉั่ว รวมทั้งเป็นหนึ่งในทีมงานจับตาย"เสืออบ ขยันกิจ" มือปืนที่สังหารพ.ต.อ.ผู้หนึ่งเสียชีวิต "จ๊อด กองปราบ"โด่งดังสุดขีดเมื่อย้ายไปสังกัดแผนก 3 กก.3 ป. กับพ.ต.ท.ประสพโชค พร้อมมูล จนทั้งตำรวจ คนร้ายต่างรู้จักนาม ทั้งที่เพิ่งไปอยู่กองปราบได้ไม่นาน
"จ๊อด กองปราบ" เคยร่วมงานกับนายตำรวจมือปราบหลายคน ทั้งเพื่อนรักนักเรียนพลฯร่วมรุ่นอย่างพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.ต.อังกูร อาทรไผท พล.ต.ต.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รวมถึงพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศด้วย มีประสบการณ์ร่วมพิชิตคดีสำคัญมาอย่างโชกโชน ทั้งคดีอุ้มฆ่าคนตระกูล"ตั้งฮั้ว" เรืองกาญจนเศรษฐ์ คดีวิสามัญ"จ่าแดง" หัวโจกแก๊งลักรถ และคดีจับ"เสี่ยแดง" หลานหลวงพ่อคูณ ที่จ้างวานฆ่า"เสี่ยนาย"
เจ้าตัวเคยเล่าประสบการณ์ปราบแก๊งลักจระเข้ในเมืองนครสวรรค์ที่ระบาดหนักในขณะนั้น ให้ฟังว่า หลังจากที่รู้ว่ารถคนร้ายสีดำ จำแต่เลขท้ายได้แค่ 88 เป็นชื่อจังหวัดยาวๆ ก็ไปไล่เช็กจนทราบว่าเป็นรถนิสสัน สีดำ ทะเบียน ...88 กำแพงเพชร แค่นั้น "รู้ชัดเจนขนาดนี้ ผมไม่ต้องรอสืบสวนออกหมาย ชอบทำงานแบบเฉียบขาดรวดเร็ว ถ้าอยู่บ้านก็เข้าไปเลย หิ้วขึ้นรถ บอกไปนั่งคุยกันหน่อย เดี๋ยวจะส่งกลับ พอขึ้นรถปุ๊ป ก็จับผูกตา แกล้งบอกกับลูกน้องว่า ถัง 200 ลิตร เตรียมไว้เรียบร้อยหรือยัง น้ำมันเตรียมหรือยัง ลูกน้องตอบเรียบร้อยแล้วครับ โอเค เดี๋ยวโยนลงถัง...เลย ผมขู่มันว่า รถทะเบียนกำแพงเพชร สีดำ ไปลักจระเข้ที่ไหนมา ตอนแรกเขาปฏิเสธ ผมตวาดว่า คนอื่นเอาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่รู้ทะเบียนรถหรอก ไม่เป็นไร รับรอด ไม่รับลงถัง 200 ลิตร นี่คือนโยบายผม เท่านั้นแหละ ครับพี่ บอกพี่...ได้ทั้งตัวคน ได้ทั้งจระเข้คืน ไม่ต้องซ้อมหรอก"
เรื่องนี้ "มือปราบชาละวัน" พล.ต.ต.อังกู อาทรไผท เคยเขียนเกียรติประวัติ"จ๊อด กองปราบ"ไว้ว่า ตอนอยู่กองปราบได้รับฉายา"มือปราบชาละวัน"จากสื่อ เพราะจับกุมแก๊งลักจระเข้ได้ยกแก๊ง
พล.ต.ต.อังกูรเล่าไว้ว่า "จ่าจ๊อดฯเป็นที่เกรงขามของพวกนักเลงและมือปืน โจรร้ายๆที่ไหนถ้าถูกชุดจ่าจ๊อดฯตามจับ มักจะไม่รอด ไม่รีบมอบตัวมีหวังตาย ทำให้พวกโจรห้าร้อยต้องวิ่งหาคนโน้นคนนี้ ฝากฝังกับจ่าจ๊อดฯ ทำให้ฐานการหาข่าวของจ่าจ๊อดฯกว้างขวาง ใครไปทำชั่วที่ไหนไม่เกิน 3 วันจ่าจ๊อดฯจะทราบ (แต่ที่ไม่ทราบจริงๆก็มี สรุปว่าเป็นตำรวจที่มีแหล่งข่าวมากคนหนึ่ง) ส่วนคนอื่นๆเช่น จ่าป๋อ,จ่ายศ,จ่าวัฒนะ,จ่ายืน พวกนี้พอได้รับคำสั่งแล้วไม่รีรอ สำหรับจ่าเชียรฯต้องยกให้ในความแม่นปืน ขนาดเพื่อนร่วมทีมกอดปล้ำอยู่กับโจร กลิ้งไปกลิ้งมา จ่าเชียรฯยิงทันที กระสุนไม่เคยพลายเป้า ชนิดเฉียดหัวเพื่อนไปเส้นยาแดง
ฟาร์มจระเข้แถวจังหวัดอ่างทองถูกมือดีขโมยเข้ไปจำนวนนับร้อย งงเหมือนกันนับจำนวนได้ยังไง ไอ้เข้มันอยู่ในน้ำ และมันก็ไม่มีวินัยที่จะมาเรียงแถวให้เจ้าของนับ เดี๋ยวขึ้นบกเดี๋ยวลงน้ำอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ต้องเชื่อ เจ้าของฟาร์มเขาจะรู้ ถ้าจระเข้หายไปจำนวนเป็นร้อยจะรู้ทันที แน่นอนการที่เข้หายเป็นร้อยต้องใช้เวลาขนหลายวัน เจ้าของฟาร์มจึงได้วางสายดักเฝ้า พวกโจรก็ฉลาด พอรู้ว่าทางเจ้าของจัดเวรยามแข็งขัน มันก็ไม่เข้าไปขโมย แต่ยามก็ได้ลักษณะรถยนต์ที่ต้องสงสัย เป็นรถยนต์ปิกอัพสีเทาดำติดฟิล์มมืด ทะเบียนจังหวัดอะไรก็ไม่ทราบ เห็นไม่ชัด รู้เพียงว่าตัวหนังสือเรียงแถวยาว จำหมายเลขได้แค่สองตัว ข้อมูลเพียงแค่นี้จ่าจ๊อดฯใช้เวลาเพียง 3 วัน สืบรู้ว่าเป็นแก๊งนครสวรรค์ อีก 2 วันต่อมา จ่าจ๊อดฯพร้อมทีมงานก็หิ้วทั้งแก๊ง 5 คน เข้าไปเก็บไว้ที่เซฟเฮาส์อยู่แถวเมืองทอง กทม. ใช้เวลาสอบสวนอยู่วันเต็มๆ รับสารภาพหมด ที่ทำสำเร็จได้ ก็เพราะ"จ่าจ๊อด" และ"มือปราบชาละวัน"ตัวจริง ก็คือ ร.ต.ต.กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่าง"
ช่วงชีวิตของการรับราชการ และในหน้าที่ของนักการเมืองท้องถิ่น "จ๊อด กองปราบ" ผ่านนาทีเฉียดตายมาหลายครั้ง โดยราวกลางปี 2531 ระหว่างไปปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งให้นายสมชาย หรือเสี่ยแหย ฤกษ์วรารักษ์ เจ้าพ่อคนดังเมืองอ่างทอง ซึ่งระหว่างที่"เสี่ยแหย" เดินลงจากศาลอำเภอวิเศษชัยชาญ เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องกัมปนาท ลูกน้องเสี่ยแหยเสียชีวิตทันที 3 ศพ ตัว"เสี่ยแหยะ รอดราวปาฎิหาริย์ แต่ว่ากันว่า ที่เสียแหยรอดชีวิตในครั้งนั้นมาได้ เป็นเพราะ "จ๊อด กองปราบ" บังวิถีสะเก็ตระเบิดไว้ ส่วนตัว"จ๊อด กองปราบ" ไฟลุกท่วมตัว ผมไหม้เกรียม ถูกสะเก็ตระเบิดราว 200 เม็ด แต่เพียงแค่ระคายผิว ไม่เข้าถึงเนื้อ กระนั้นก็ตาม "จ๊อด กองปราบ"ถึงกับต้องถ่ายเป็นเลือด เพราะช้ำในไปทั่วร่าง ต่อมาอีก 1 ปี (2532) "เสี่ยแหย"ก็ถูกระเบิดสังหารตายคาบันไดศาลจังหวัดนครราชสีมา ในวันครบรอบระเบิดสังหาร 1 ปีเต็มพอดีบพอดี แต่วันนั้น "จ๊อด กองปราบ"ไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วย
หลังจากลาออกจากราชการ ก่อนเสียชีวิตไม่กี่เดือน "จ๊อด กองปราบ"ก็หวิดจวนเจียนถูกสังหาร เมื่อคนร้ายนำระเบิดสังหารไปวางไว้ที่ลานจอดรถบ้านของเขา และเกิดระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหวในเวลา 04.30 น. ของวันที่ 15 ส.ค.2552 แรงระเบิดทำให้โรงจอดรถ ตัวบ้าน ห้องรับแขก และรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียน ก-0543 อ่างทอง ป้ายแดง ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหายเกือบทั้งคัน โดยที่"จ๊อด กองปราบ"กับภรรยานอนอยู่บนบ้าน ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
ก่อนที่"จ๊อด กองปราบ"จะลาออกจากราชการ เขาถูกกล่าวหาจากหลายฝ่าย โดยเเฉพาะฝ่ายตรงข้ามว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพล จนถูกย้ายด่วนไปยังพื้นที่ 3 จังหวัดทางภาคใต้มาแล้วถึง 2 ครั้ง จนกระทั่งในที่สุด ได้ตัดสินใจอำลาชีวิต"นายดาบตำรวจ" โดยได้รับยศ"ร.ต.ต."เป็นรางวัลปลอบขวัญตลอดการทำงานในเครื่องแบบมาเกือบทั้งชีวิต เบนเข็มชีวิตลงสมัครเป็นนักการเมืองท้องถิ่น และรับเหมาก่อสร้างเป็นอาชีพกับภรรยา ในทาวน์เฮาส์ขนาด 2 หลังติดกัน ในบ้านเกิดที่ต.บ้านอิฐ อ.เมือง จ.อ่างทอง
"จ๊อด กองปราบ"เคยบอกไว้ว่า "เรื่องต่างๆ มีคนมาคุยมาเล่าให้ฟังเยอะ แต่รับฟังเฉยๆ ไม่รับรู้ ผมเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นนักการเมือง ไม่มีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด จ๊อด กองปราบ กลายเป็นตำนานไปแล้ว อายุมากแล้วต้องวิ่งหาความสบาย ไม่ใช่วิ่งหาความลำบาก ถ้าทำแล้วได้ผลประโยชน์ อยู่สบายเราก็ทำ ให้รางวัลชีวิตในช่วงบั้นปลาย"
วันนี้ ไม่มีทั้งร่าง ไม่มีทั้งวิญญาณ "จ๊อด กองปราบ"อีกต่อไป เราเชื่อว่า เหตุและปัจจัยทั้งปวง ล้วนมาจากผลแห่งการกระทำ แต่ไม่ใช่ ชีวิตจะต้องล้างด้วยชีวิตเสมอไป...