xs
xsm
sm
md
lg

สาวกร่างอ้างหลานจุมพลโต้ไม่ใช่ “นังมารร้าย!”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

น.ส.พัทธนันท์ วิยาภรณ์ ในวันเกิดเหตุ
สาวที่ตกเป็นข่าวอ้างตัวเป็นหลาน “พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย” ร่อนจดหมายชี้แจงข้อเท็จจริง เนื้อหาเป็นคนละเรื่อง คนละตอนกับข่าวที่ได้นำเสนอไป ระบุไม่เคยอ้างเป็นหลาน หรือเกี่ยวข้องกับรอง ผบ.ตร. แต่ถูกฝ่ายตรงข้ามราวี ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ขณะที่ ผกก.สน.บางกอกน้อย ระบุต่างฝ่ายต่างอ้าง และจ้องที่จะเอาชนะกันเพราะอารมณ์นำไป

วันนี้ (15 ธ.ค.) น.ส.พัทธนันท์ วิยาภรณ์ อายุ 25 ปี หญิงสาวที่ตกเป็นข่าวขับรถชนรถจักรยานยนต์ทำให้ชาวต่างด้าว 2 รายได้รับบาดเจ็บ และเกิดมีเหตุทะเลาะวิวาทกับ น.ส.สินีรินทร์ ศรีครุฑรานนท์ อายุ 33 ปี ชาวบ้านที่เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ โดยมีเรื่องแจ้งความกันที่สน.บางกอกน้อย โดย น.ส.พัทธนันท์ อ้างกับ น.ส.สินีรินทร์ ว่าเป็นหลานสาวของ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. แต่ภายหลัง พล.ต.อ.จุมพล ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีญาติอยู่ในกทม.นั้น น.ส.พัทธนันท์ ได้ทำหนังสือลงวันที่ 10 ธ.ค. รวม 4 หน้ากระดาษ ถึงบรรณาธิการข่าวอาชญากรรม หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน และออนไลน์ เพื่อขอชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

หนังสือชี้แจงของ น.ส.พัทธนันท์ ชี้แจงว่า ข่าวที่เกิดขึ้นนั้น ข้อเท็จจริงยังคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงมาก โดยในวันเกิดเหตุ นางอุษา วิยาภรณ์ มารดาเป็นคนขับรถโตโยต้าอัลติส ทะเบียน ฌอ 8894 กทม. ส่วนข้าฯ (น.ส.พัทธนันท์) นั่งอยู่เบาะหน้าซ้าย ไม่ใช่คนขับ และได้ขับรถออกจากร้านเสริมสวยวิไลซาลอน บนถนนอิสรภาพ ขณะออกรถเพื่อที่จะกลับรถมาฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นถนนที่สามารถกลับรถได้ (ถนนไม่มีเกาะกลาง) ในลักษณะที่รถวิ่งสวนกันได้ และมีเพียงเส้นแบ่งฝั่งถนน โดยขณะกลับรถมาได้ และกำลังจะเข้าทางตรง มีรถ จยย.พุ่งเข้าชนท้าย มีชาย 2 คนเป็นผู้ขับขี่และซ้อนท้ายมา แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ชายที่นั่งซ้อนท้ายมา เดินหายไป เหลือแต่ผู้ขับขี่ เมื่อลงไปดูพบว่า ชายคนดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ มีแผลที่คาง(ไม่มาก) ยังนั่งค่อมรถอยู่ในลักษณะตกใจ และมีลักษณะมึนเมา เวลาพูดจะมีกลิ่นเหล้า โดยพูดว่า “เจ๊อย่าเอาเรื่องผมเลยนะครับ ผมเป็นคนต่างด้าว และเพิ่งกินเหล้ามา ผมกลัวตำรวจมาก ปล่อยผมไปเถอะครับเจ๊” ซึ่งมารดาข้าฯ พยายามเข้าไปสอบถามอาการ และบอกให้ไปรักษาตัวก่อน แต่ชายคนดังกล่าวปฏิเสธ พร้อมยืนยันขอให้ปล่อยตัวไป แต่ข้าฯกับมารดาลังเล เพราะเกรงจะมีปัญหาในการเครมประกัน ในขณะเดียวกัน ก็สงสารผู้บาดเจ็บ

หนังสือชี้แจงระบุต่อว่า ขณะที่โทรศัพท์หาประกันภัยนั้น มีหญิงสาว (น.ส.สินีรินทร์) เดินเข้ามาหา พร้อมกล่าวว่า “เฮ้ย แล้วไม่ให้ค่ารักษาพยาบาลกันบ้างเลยหรือ” แต่ไม่ได้สนใจ และหญิงคนดังกล่าวก็ยังถามเสียงดังถึงเรื่องค่ารักษา จนกระทั่งมารดาต้องตอบกลับไปว่า “คุณไม่ต้องมายุ่งหรอก” และด้วยเหตุที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับหญิงคนดังกล่าว ทำให้หญิงคนดังกล่าวตะโกนใส่หน้าว่า ด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับเดินไปยืนอยู่ที่เดิม และตะโกนเสียงด่าดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอาการเกรี้ยวกราด พลางชี้มาทางข้าฯและมารดา กล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคายมากขึ้น อันมีความรุนแรง ซึ่งทำให้ข้าฯและมารดาได้รับความเสียหาย เสียงดังมากจนคนมามุงดูที่เกิดเหตุ และเนื่องจากข้าฯได้นิ่งเฉยมานาน ด้วยเพราะเขาไม่ใช่คู่กรณี และมิได้รู้สึกโกรธ จึงไม่ได้โต้ตอบ ข้าฯ บอกกับมารดาว่า อย่าไปสนใจ

แต่หญิงคนดังกล่าวกลับไม่ยอมหยุด พร้อมทั้งพูดวนไปวนมา เรียกผู้คนให้มาดู ทำให้รู้สึกว่า เรากำลังถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรงจากบุคคลที่มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้น ข้าฯ จึงได้เดินเข้าไปถามว่า “คุณเป็นใคร มาเกี่ยวอะไรด้วย และเรารู้จักกันหรือ” หญิงคนนั้นกล่าวว่า “กูเป็นเมียตำรวจ ผู้กำกับใหญ่โว้ย ตำรวจที่ไหนก็กลัวผัวกูทั้งนั้นแหละ” แล้วใช้มือขวาผลักข้าฯ ที่บริเวณไหล่ซ้าย สอง-สามครั้ง เหมือนพยายามจะลงไม้ลงมือ และทำเหมือนกับจะถอดรองเท้ายกขึ้นเพื่อทำร้ายข้าฯ ขณะเดียวกัน มีเสียงพวกของนาง ซึ่งข้าฯ จำไม่ได้ว่าคนไหน จำได้คนเดียวคือเป็นมารดาได้พูดเสริมว่า “ลูกกู เป็นเมียผู้กำกับใหญ่โว้ย” เนื่องจากข้าฯ ไม่ประสงค์จะมีเรื่องกับบุคคลเหล่านี้ เพราะกลัวถูกรุมทำร้าย เพราะมีแต่พวกของเขา ประกอบกับไม่ใช่เป็นถิ่นของข้าฯ ข้าฯ จึงพูดกับคนเหล่านั้นไปว่า เดี๋ยวข้าฯจะโทร.แจ้งตำรวจ 191 เพราะถูกดูหมิ่นซึ่งหน้า เสร็จแล้วจึงเดินจากมา เพื่อโทรเรียกตำรวจ 191 ขณะนั้นหญิงคนดังกล่าว ซึ่งทราบต่อมาคือนางสาวสินีรินทร์ ศรีครฑรานนท์ ข่มขู่ข้าฯ ว่า ตนมีพวกอยู่เป็นสื่อมวลชน จะโทรแจ้งนักข่าวไทยรัฐ และ ASTV เพื่อข่มขู่มิให้ข้าฯ โทร.แจ้ง 191

เมื่อตำรวจ 191 เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งในขณะที่มารดาข้าฯ ย้ายรถไปจอดข้างทางอีกฝั่งถนนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังคุยกับประกันภัยเพื่อทำเอกสารใบเครม ตำรวจคนดังกล่าวจึงบอกให้ข้าฯ และ น.ส.สินีรินทร์ เดินทางไปที่ สน.บางกอกน้อย เมื่อข้าฯไปถึงสถานีตำรวจ ขณะนั่งรอเข้าพบร้อยเวรอยู่ด้านนอกนั้น กลุ่ม น.ส.สินีรินทร์ และพวกยังได้เดินมาด่าข้าฯและมารดา ด้วยถ้อยคำแบบเดิม ข้าฯและมารดาพยายามนิ่งเฉยตลอดมา จากนั้น ข้าฯ และมารดาได้เข้าไปในห้องสอบสวน และมิได้ออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนดังกล่าวอีก หลังจากนั้น จึงเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจเจ้าของคดีฟัง แต่ยังมิได้แจ้งความ เพราะมารดาข้าฯเครียดจนมีอาการปวดท้อง วิงเวียน ซึ่งสุขภาพท่านไม่ดีอยู่แล้ว จึงรีบพากลับไปพักผ่อน จนกระทั่งก่อนเดินออกจากห้องสารวัตรสอบสวนและออกจากประตูสถานี ในขณะนั้นได้มีชายคนหนึ่ง ไม่ทราบชื่อ วัยประมาณ 50 เศษ ใส่เสื้อสีเหลืองสวมแจ็กเกต ได้เข้ามาถ่ายรูปข้าฯ ขณะเดินออกจากประตู และกำลังขึ้นรถเพื่อพามารดากลับ ซึ่งขณะนั้นไม่อยู่ในสภาพจิตใจที่พร้อมจะขับรถได้ ข้าฯและมารดาคิดว่าจะยังไม่แจ้งความ เพราะอยากพามารดากลับไปพัก และตำรวจยังบอกว่า น.ส.สินีรินทร์ มีเรื่องที่สถานีตำรวจนี้บ่อยครั้ง เมื่อกลับถึงบ้านในคืนนั้น ข้าฯได้ทราบว่า น.ส.สินีรินทร์ ได้แจ้งความร้องทุกข์ข้าฯ ในวันต่อมาปรากฏว่า มีข่าวของข้าฯ พร้อมทั้งรูปถ่าย สถานที่อยู่ ที่ทำงาน ในเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวที่ปรากฏตามคำบอกกล่าวของ น.ส.สินีรินทร์ นั้นไม่ตรงกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ซึ่งต่อมาคือวันที่ 8 ธันวาคม 2552 ข้าฯ และมารดาได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย

เหตุการณ์ต่างๆ ดังที่ได้นำเรียนมาแล้วนั้น ข้าฯ ขอรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ
ข้าฯ มิได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรือเกี่ยวข้องเป็นญาติกับ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย แต่อย่างใด และขอเรียนว่าไม่เคยกล่าวอ้างว่าเป็นหลานตามที่หญิงคนนั้นกล่าวหา ซึ่งการลงข่าวดังกล่าวนอกจากทำให้ข้าฯและมารดาได้รับความเสียหายแล้วยังทำให้ พล.ต.อ.จุมพล เสื่อมเสียชื่อเสียงอีกด้วย

ข้าฯ ในฐานะผู้หญิงธรรมดาที่ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูมารดา มีเส้นทางในการประกอบอาชีพที่ต้องดำเนินต่อไปในสังคมและต้องอยู่ในสังคมต่อไป โดยเฉพาะการที่เพิ่งไปเป็นนักกฎหมายต้องใช้ความรู้ความสามารถในการจรรโลงความยุติธรรมให้แก่สังคมและประชาชนต่อไป จำต้องประกอบด้วยคุณธรรมและมีจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัดมากว่าอาชีพอื่น การที่เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นโดยข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ หรือศาลยังมิได้พิพากษาว่าใครผิดใครถูก แต่ที่ผู้จัดการออนไลน์ และผู้จัดการรายวัน นำเรื่องราวที่ได้รับฟังมาจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคู่กรณีกับข้าพเจ้าเพียงฝ่ายเดียวโดยมิได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แต่กลับเอาข้อมูลที่ผิดพลาดต่อความเป็นจริงไปเผยแพร่ พร้อมทั้งภาพถ่ายอย่างชัดเจนนั้น ทำให้ข้าฯ รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกตำหนิจากสังคม

ด้วยเหตุดังที่ได้เรียนมาแล้วข้างตัน ข้าฯ จึงใคร่ขอความกรุณาบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ผู้จัดการออนไลน์ ให้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงตามที่ข้าฯ ได้กล่าวแล้ว และกรุณาแก้ข่าวให้ข้าพเจ้าด้วย หากมีคำพิพากษาของศาลชี้ขาดในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร ข้าฯ จะไม่โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด และหากท่านประสงค์จะให้ข้าฯมาชี้แจงด้วยตนเอง ขอให้ท่านติดต่อข้าฯ ได้ทันที”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.พัทธนันท์ จึงได้ติดต่อสอบถามไปยัง พ.ต.อ.เฉลิมชัย ปานพิทักษ์พันธ์ ผกก.สน.บางกอกน้อย สอบถามถึงเรื่องราวและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดย พ.ต.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า เรื่องคดีความก็ยังคงดำเนินคดีต่อไป ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นต่างคนก็ต่างอ้าง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงคดีทะเลาะวิวาทกันธรรมดาไม่เกี่ยวกับเรื่องรถชนจักรยานยนต์

พ.ต.อ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นหลานของ พล.ต.อ.จุมพล นั้น น่าเชื่อว่าต่างฝ่ายต่างอ้างจริงบ้างไม่จริงบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต่างที่จ้องจะเอาชนะกันด้วยทางอารมณ์ โดยตำรวจจะดำเนินคดีไปตามความจริง

อย่างไรก็ตาม การนำเสนอข่าวในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ต้นนั้น ผู้สื่อข่าว นำข้อมูล และข้อเท็จจริงทั้งหมด ที่มีอยู่ในบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวน สน.บางกอกน้อย มิได้เขียนข่าวเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเฉพาะ

“จุมพล” ลั่นสาวซิ่งชนต่างด้าวไม่ใช่หลาน ไม่เคยรู้จัก!
ขับรถชนอ้างหลาน “จุมพล” ขู่ย้ายสามีคนเข้าไปช่วย
กับน.ส.สินีรินทร์ ศรีครุฑรานนท์ อายุ 33 ปี คู่กรณีที่ปะทะคารม
น.ส.พัทธนันท์ วิยาภรณ์ อายุ 25 ปี
รถเก๋งของน.ส.พัทธนันท์
กำลังโหลดความคิดเห็น