กูดันอยาก เกิดมา เป็นตำรวจ ถูกเขาสวด เขาด่า ว่ากันขรม
กูอยู่อย่าง หน้าชื่น แต่อกตรม อยากจะสม น้ำหน้า กูบ้าเอง
กูอุตส่าห์ บากบั่น ขยันฝึก ทั้งเช้าสาย บ่ายดึก ฝึกจนเก่ง
กูฝึกภาค ดินน้ำฟ้า ไม่นึกเกรง เพลงนักสู้ กูบรรเลง ในหัวใจ
กูสำเร็จ จนมีดาว ประดับบ่า ทั้งกระบี่ ปริญญา หน้าสดใส
กูมีพระบรม ราโชวาท ประดับใจ นายร้อยใหม่ อย่าหลงใหล ศักดินา
กูจะเก็บ กระบี่ปริญญา ที่ได้รับ แขวนประดับ เอาไว้ ที่ข้างฝา
กูขอตั้ง จิตอธิฐาน สัตย์วาจา จะพิทักษ์ รักประชา เหนือชีพกู
กูก้าวแรก ลงสู่ ยุทธจักร ต้องหยุดพัก อนิจจา หน้าหมองหม่น
กูทำดี ได้ดี เสมอตน ถ้ากูพลาด ก็ปี้ป่น ไม่เหลือดี
กูจะสู้ อริราช อีกสักหน จะขอสู้ ลองทน จนเหลือที่
หากกูต้อง แพ้สิ่งชั่ว ตัวอัปปรีย์ ให้กระบี่ พระราชทาน ประหารกู
“กูอยากเกิดมาเป็นตำรวจ” เป็นหัวข้อคำกลอนที่ขึ้นหราอยู่หน้าเว็บ นรต.รุ่นที่ 50 รุ่นที่มี พ.ต.ต.อรรถวุฒิ กิจคาม สวป.สภ.เจรริญศิลป์ จ.สกลนคร ช่วยราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ตกเป็นข่าวโดยแต่งกายนอกเครื่องแบบพาพวกกว่า 10 คนบุกขึ้นไปบน สน.เพชรเกษม แล้วก่อเหตุทำร้ายร่างกายนางธนิดา ศรีสุวรรณ อายุ 60 ปี จนได้รับบาดเจ็บสาหัสภายในห้องพนักงานสอบสวน โดย พ.ต.ต.อรรถวุฒิ อ้างตัวว่า ไปช่วยส.ต.ท.ภาณุพันธ์ กิตติชัยเดช คู่กรณีนางธนิดา ในกรณีบุกรุกที่บ้านเลขที่ 11/69 หมู่บ้านนาราศิริ ถนนกาญจนาภิเษก แขวงและเขตบางแค กทม. และอยู่ระหว่างไกล่เกลี่ยกัน เมื่อคืนวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา
เหตุการณ์อัปยศเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 22.30 น.วันที่ 29 พ.ย. ขณะที่ ร.ต.ท.ภานุทัศน์ คิดนอก พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.เพชรเกษม กำลังปฎิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพัก เจ้าหน้าที่สายตรวจนำตัวนางธนิดา ศรีสุวรรณ อายุ 60 ปี กับ ส.ต.ท.ภาณุพันธ์ กิตติชัยเดช คู่กรณีเหตุบุกรุกที่บ้านเลขที่ 11/69 หมู่บ้านนาราศิริ ถนนกาญจนาภิเษก แขวงและเขตบางแค กทม.ขึ้นมาส่งให้ร.ต.ท.ภานุทัศน์ ทำการไกล่เกลี่ย
ระหว่างนั้น พนักงานสอบสวนอยู่ในห้อง 3 นาย กำลังสอบสวนผู้ต้องหาและผู้เสียหายคดีชิงทรัพย์ร้านทองที่เกิดเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกัน ทางพนักงานสอบสวนจึงพยายามให้ทั้งคู่ไกล่เกลี่ยยอมความกัน เนื่องจากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะบ้านหลังที่เกิดเหตุนั้น เดิมเป็นของนางธนิดา แต่ต่อมาได้โอนให้เป็นของน.ส.อรอนงค์ พินิจพงษ์พันธ์ อายุ 37 ปี ลูกสะใภ้ แต่นางธนิดายังคงเข้าไปดูแลความเรียบร้อยในบ้านหลังดังกล่าวเป็นประจำ จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.00 น.ของวันเกิดเหตุ นางธนิดาสังเกตเห็นบ้านถูกเปิดไฟสว่างจ้า ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ จึงเข้าไปตรวจสอบ ก็พบส.ต.ท.ภาณุพันธ์ อยู่กับเพื่อน ทาง ส.ต.ท.ภาณุพันธ์ ได้ยืนยันว่า ได้เช่าบ้านหลังดังกล่าวมาจาก น.ส.อรอนงค์ โดยจ่ายค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท และมีสัญญาเช่าถูกต้อง แต่นางธนิดายืนยันว่า ให้รอลูกชายตนเองที่เป็นแฟนของลูกสะใภ้ ซึ่งกำลังบวชพระอยู่สึกออกมาเสียก่อน ทำให้การเจรจาไม่เป็นผล ทั้งสองฝ่ายจึงเรียกตำรวจสายตรวจมารับตัวไปตกลงกันที่โรงพัก
เมื่อพนักงานสอบสวนปล่อยให้คู่กรณีนั่งเจรจากันประมาณ 1 ชั่วโมง ทางพนักงานสอบสวนคนหนึ่งนำทองคำของกลาง 25 เส้นไปคืนผู้เสียหายบนชั้น 2 ของโรงพัก ส่วนพนักงานสอบสวนที่เหลือแยกย้ายกันสอบปากคำผู้ต้องหาในคดีชิงทอง จึงทำให้ในห้องสอบสวนไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ ช่วงจังหวะนั้นเอง ส.ต.ท.ภาณุพันธ์ ได้โทรศัพท์ตามลูกพี่และลูกน้อง ประมาณ 10 คน แต่งกายเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งหมด นำโดย พ.ต.ต.อรรถวุฒิ กิจคาม สวป.สภ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ช่วยราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาที่โรงพัก
เมื่อมาถึงหนึ่งในจำนวนนั้น ก็เรียกตัวนายยุทธนา กลิ่นขจร อายุ 33 ปี ลูกเขยของนางธนิดา พร้อมกับลูกสาวและหลานชายวัย 1 ขวบครึ่ง ที่เดินทางมาพร้อมกับนางธนิดา ออกไปตกลงกันบริเวณลานจอดรถด้านข้างโรงพัก แต่นายยุทธนาไม่ยอมไป ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ กรูกันเข้าไปหานายยุทธนา 5 คน ส่วนอีก 5 คนยืนคุมเชิงและล็อกประตูจากด้านนอกไว้ ก่อนที่ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ จะเปิดฉากชกนายยุทธนาเข้าที่ปลายคาง จากนั้นก็รุมชกต่อยนายยุทธนาจนน่วมทรุดลงกับพื้น
จังหวะนั้นเอง นางธนิดาพยายามเข้าไปห้ามปราม แต่กลับถูก พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ชกเข้าที่หน้าตาจนบวมช้ำ มีแผลแตกฟุบลงไปกับพื้น ก่อนใช้เท้าเหยียบหน้าไว้ ช่วงเวลานั้น ด.ต.วีระ ภู่ฤทธิ์ ผบ.หมู่ ป.สน.เพชรเกษม ซึ่งกำลังเข้าเวรห้องวิทยุอยู่ใกล้กับห้องพนักงานสอบสวนเห็นเหตุการณ์ จึงรีบเข้ามาห้ามปราม ทำให้กลุ่มของ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ แตกฮือแยกย้ายหลบหนีไป แต่ด.ต.สายัณห์ ศรีสุวรรณ ผบ.หมู่ ป.ที่ผ่านเข้ามาผ่านมาพอดี ได้เข้าจับกุมตัว พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ไว้ได้เพียงคนเดียว
ขณะถูกจับกุม พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ได้แสดงบัตรเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เจ้าหน้าที่ไม่สนใจ ก่อนทำการตรวจค้นตัวก็พบอาวุธปืนกล็อก ขนาด 9 มม.1 กระบอก ขึ้นลำพร้อมยิง ภายในมีกระสุน 9 นัด และโทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมแจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ แต่เจ้าตัวให้การปฏิเสธ พร้อมยื่นประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์ 30,000 บาทออกไป
ทั้งนี้ หลังจากที่ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ประกันตัวออกไป ได้มีนายตำรวจระดับผู้ใหญ่โทรศัพท์มาเจรจาขอเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา แต่ทาง พ.ต.อ.อนุชา อ่วมเจริญ ผกก.สน.เพชรเกษม ไม่ยินยอม ก่อนรีบรายงานให้ พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.น.9 รับทราบเป็นการด่วน ซึ่งทาง พล.ต.ต.กรีรินทร์ ได้สั่งดำเนินคดีอย่างรัดกุมและเฉียบขาด เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามากระทำการเกินกว่าเหตุบนโรงพัก
นายยุทธนา กลิ่นขจร ลูกเขยนางธนิดาที่ถูกทำร้ายร่างกายจากฝีมือฝีเท้าของ “สารวัตรเถื่อน” รายนี้ บอกด้วยว่า “ผมยังยืนยันคำให้การเดิม คือจะดำเนินการให้ถึงที่สุดให้เป็นคดีตัวอย่าง ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่บังคับใช้กฏหมายกระทำกับประชาชนอย่างนี้ ซึ่งไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง โดยยอมรับว่า ขณะนี้สภาพจิตใจของแม่ยายกับตัวผมเองย่ำแย่ และหวาดกลัวอิทธิพลเถื่อนเป็นอย่างมาก ผมหวังว่าคดีนี้จะจบโดยเร็ว เนื่องจากผมมีครอบครัวและเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย โดยยืนยันว่าแม้ฝ่ายคู่กรณีจะติดต่อขอไกล่เกลี่ย ก็จะไม่มีการยอมความอย่างแน่นอน จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายอย่างถึงที่สุด”
“ไม่คิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ในห้องพนักงานสอบสวนบนโรงพัก ทั้งที่น่าจะปลอดภัยที่สุด แถมคนลงมือก่อเหตุก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บังคับใช้กฎหมายอีกด้วย แค่ทำกับตนคนเดียวก็ไม่มีทางสู้อยู่แล้ว แต่ยังไปทำกับแม่ยายตนเองที่อายุมากและเป็นผู้หญิงด้วย ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีจริยธรรม ผมกับแม่ยายยืนยันจะดำเนินคดีกับตำรวจกลุ่มนี้ให้ถึงที่สุด” นายยุทธนายืนยัน
หลังข่าวฉาวไปปรากฏตามสื่อ ปรากฏว่ามีประชาชนจำนวนมาก แฟกซ์เข้าไปชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.เพชรเกษม ที่ดำเนินการให้ความเป็นธรรมกับประชาชน โดยไม่ได้เข้าข้างเพื่อนตำรวจด้วยกัน ส่วนในเว็บบอร์ด นรต.50 ต่างรุมประณามถึงการกระทำ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ที่ร่วมกับพวกแสดงพฤติกรรมโหดเถื่อนในครั้งนี้ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
ถัดมาไม่นาน ทั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกตร. พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.น.9 ต่างก็ต้องออกมากู้หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติกันถ้วนหน้า ด้วยคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ แต่จะอย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้น ไม่พบว่า พ.ต.ต.อรรถวุฒิ มีสังกัดที่แน่นอนอยู่ในส่วนไหนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกันแน่ แม้แต่พ.ต.อ.ชาญบูลย์ บัณฑุวงศ์ ผกก.สภ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ผู้บังคับบัญชา พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ยังบอกว่า “สารวัตรคนนี้ ไม่เคยมาทำงานที่สภ.เจริญศิลป์เลย หลังจากที่มีชื่อมาปฏิบัติราชการ ก็ไปช่วยราชการโดยตลอด แต่จำไม่ได้ว่า ไปช่วยที่หน่วยใด เพราะต้นเรื่องอยู่ที่กองบังคับการตำรวจภูธร จ.สกลนคร ซึ่งในช่วงนั้น ตำรวจใน จ.สกลนคร ก็ถูกให้มาช่วยราชการหลายคน ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใดบ้าง รู้เพียงแต่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ”
ในขณะที่ พล.ต.ท.พงศพัศเอง ก็ยังไม่แน่ใจในสังกัดของนายตำรวจผู้นี้มากนัก โดยระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พ.ต.ต.อรรถวุฒิ มาช่วยราชการเป็นพนักงานสืบสวนคดีที่ผู้บริหาร บ.เอส อี ซี ออโต้เซลล์แอนด์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่มี พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม สมัยเป็น ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.ซึ่งขณะนี้ ต้องดูว่า คำสั่งนี้ หมดสภาพไปหรือยัง
ท้ายที่สุดแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องตอบคำถามข้อสงสัยต่างๆให้เป็นที่ปรากฏชัดต่อสังคมว่า...
ทำไม...พ.ต.ต.อรรถวุฒิ จึงไม่มีสังกัดที่แน่นอน
ทำไม...ตำแหน่ง สวป.ของ พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ซึ่งถือเป็นตำแหน่งหลัก ที่ไม่สามารถไปช่วยราชการได้ จึงไปได้
ทำไม...พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ไม่เคยไปปฏิบัติหน้าที่ยัง สภ.เจริญศิลป์เลย
ทำไม...พ.ต.ต.อรรถวุฒิ จึงไปเช่าบ้านหรูอยู่ในราคาถึงเดือนละ 2 หมื่นบาทได้
ทำไม...พ.ต.ต.อรรถวุฒิ ถึงลงมือทำร้ายได้แม้กระทั่งหญิงชรา
ทำไม...พ.ต.ต.อรรถวุฒิ จึงกล้ากระทำผิดบนโรงพัก
ทำไม...จึงมีนายตำรวจใหญ่โทร.ไปเคลียร์ตำรวจท้องที่ให้เปลี่ยนตัวผู้ต้องหา
ทำไม...จึงไม่มีการตั้งกรรมการสอบวินัย พ.ต.ต.อรรถวุฒิ กับพวกทันที่หลังเกิดเหตุ
หรือว่า สิ่งที่ได้เกิดขึ้นเป็นเพราะ “กู...คือตำรวจ”