ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครรู้จัก "เอกขาว" หรือ นายเอกชัย ชุนหชัย หนุ่มใหญ่วัย 37 ปี ยกเว้นชาวบ้านย่านบุคคโล-สำเหร่ โดยเฉพาะตำรวจสน.สำหร่ แและสน.บุคคโล รู้จักเขาดี ในฐานะนักพนันตัวยง เข้าขั้นเป็นผู้มีอิทธิพลในย่านนั้น
"เอกขาว" เป็นชาวสำเหร่ แต่ย้ายรกรากไปพำนักย่านภาษีเจริญ พ่อกับแม่แยกทางกัน โดยพ่อของเอกขาว เป็นกำนัน ย่านบางหัวเสือ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้คนในย่านนั้นดี เพราะเคยก่อคดีใช้อาวุธปืนยิงลูกเขยตัวเองมาแล้ว "เอกขาว" จึงถือเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น หลังจากที่"เอกขาว"เที่ยวไล้เที่ยวขื่อขึ้นโรงพักสำเหร่กับบุคคโลในคดีเช็คบ่อยครั้ง บางครั้งก็ยอมความกับเจ้าทุกข์ได้ บางครั้ง ก็ปล่อยให้คดีความหมดอายุไปเอง พักหลังเมื่อเข้าสู่เส้นทางนักพนัน "เอกขาว" จึงถูกเฝ้าจับตามมองจากตำรวจฝ่ายสืบสวน หลังจากมีเบาะแสว่า เขาเข้าไปพัวพันกับการค้ายาเสพติด ตำรวจจึงวางแผนที่จะจับกุมตัวเขาหลายครั้ง ทว่าแทบทุกครั้ง เขากลับหลบหนีไปได้อย่างเฉียดฉิว
ห้าทุ่มครึ่งของวันที่ 14 พ.ย. เป็นเวลานัดหมายที่ "ผู้กองโอ๊ต" ร.ต.อ.อาทิตย์ บุปผา รอง สว.สส.สน.หัวหมาก ให้สายไปล่อซื้อยาไอซ์จาก"เอกขาว"ในซอยรามคำแหง 127 จากนั้น จึงนำกำลังไปรอซุ่มไว้รอบบริเวณที่นัดหมาย โดย"ผู้กองโอ๊ต" เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการในครั้งนี้ รอเพียงจังหวะเวลา-วินาทีชี้เป็นชี้ตาย ตามที่ได้เคยเข้าไปล่อซื้อและจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดมาแล้วหลายครั้งเท่านั้น
"ผู้กองโอ๊ต" ถือเป็นนายตำรวจหนุ่ม อนาคตไกล จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 57 (นรต.57) เข้ารับราชการในตำแหน่ง พนักงานสอบสวน (สบ 1) ที่สน.หัวหมาก จากนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่ "ร้อยเวร" ด้วยดีมาตลอด กระทั่งเมื่อราว 2 ปีกว่าที่ผ่านมา "ผู้กองโอ๊ต" เบนเข็มจากงานด้านสอบสวน เข้าสู่ระบบงานสืบสวน เป็น"นักสืบ"เต็มตัว และระหว่างที่เบนเข็มเข้าสู่งานสืบสวน ได้ทุ่มเททั้งกายและใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถและเต็มร้อยทุกครั้ง ทั้งทักษะภาษาอังกฤษขั้นเทพ ก็ทำให้ "ผู้กองโอ๊ต" สามารถช่วยงานด้านการสืบสวนได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีผลงานการจับกุมยาเสพติด และคดีใหญ่ๆหลายคดีมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคดีฆ่าข่มขืนพนักงานโรงแรมที่ป้ายรถเมล์ ตรงข้ามวัดศรีบุญเรือง และคลี่คลายคดีทหารเกณฑ์ควงอาวุธสงครามปล้นรถแท็กซี่ เป็นเครื่องการันตีความทุ่มเทของวิญญาณ"นักสืบ"
ถึงเวลานัดหมาย ภายในซอยรามคำแหง 127 คนร้าย 2 คน นั่งรถแท็กซี่สีเขียวเหลือง ไม่ทราบยี่ห้อและรุ่น มีพยานจำได้เพียงเลขทะเบียน 9454 กทม. โดยไม่ทราบหมวดอักษร เมื่อรถเข้าจอดยังจุดนัดหมาย 1 ในคนร้ายได้ส่ง"ยาไอซ์" น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 1 กิโลกรัมให้สาย "ผู้กองโอ๊ต"จึงส่งสัญญาณให้ชุดปฏิบัติการ"เข้าชาร์จ" จับกุม
วินาทีนั้น! คนร้ายเกิดไหวตัวทัน เห็นความเคลื่อนไหวของชุดปฏิบัติการ จึงชักอาวุธปืน 11 มม. ยิงสวนเข้าใส่กลุ่มตำรวจหลายนัด เพื่อกรุยทางหลบหนี และถือเป็นโชคร้ายของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หนึ่งในกระสุนของคนร้าย คมกระสุนแหวกอากาศเจาะเข้ากกหูด้านขวาผู้กองโอ๊ต กระสุนฝังใน ร่างของเขาเซถลาล้มลง แน่นิ่งอยู่กับพื้นถนน!
ตำรวจชุดปฏิบัติการ ช่วยกันนำร่าง"ผู้กองโอ๊ต"ส่งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุขาภิบาล 3 ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียงที่สุดในขณะนั้น แพทย์ได้ระดมช่วยรักษาอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้าย ไม่อาจยื้อมือมัจจุราชไว้ได้ "ผู้กองโอ๊ต"สิ้นลมลงอย่างสงบ ทิ้งวีรกรรมอันกล้าหาญไว้ให้นักสืบรุ่นน้องได้รำลึกถึงต่อไป
ในขณะที่ร่าง"ผู้กองโอ๊ต"ถลาล้มลงในที่เกิดเหตุนั้น หนึ่งในคนร้ายที่ลั่นไกใส่ วิ่งขึ้นรถแท็กซี่คันเดิม หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ชุดปฏิบัติการของ"ผู้กองโอ๊ต"ก็สามารถจับกุมคนร้ายอีกคนไว้ได้ ชื่อ "เทิดเกียรติ หรือ เก่ง ชุนหชัย" อายุ 28 ปี เมื่อถูกคุมตัวกลับไปสอบสวน ผู้ต้องหาจึงยอมคายความจริงออกมาว่า คนที่ลั่นไกปลิดชีพ"ผู้กองโอ๊ต" คือพี่ชายของเขาเอง ชื่อ"เอกชัย ชุนหชัย" เจ้าของฉายา"เอกขาว" ที่ตำรวจฝั่นธนฯรู้จักกิตติศัพท์ดี
สิบโมงเช้าวันรุ่งขึ้น (15 พ.ย.) ภายในห้องประชุมกองกำกับการสืบสวนตำรวจนครบาล 4 (กก.สส.บก.น.4) พล.ต.ต.สมวุฒิ วรรณพิรุณ ผบก.น.4 พ.ต.อ.อาณัฐ เกล็ดมณี รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน ผกก.สน.หัวหมาก พ.ต.อ.ปกรณ์ กิตติวัฒน์ ผกก.สส.บก.น.4 พ.ต.ท.รังสรรค์ ยิ่งยงดำรงสกุล รอง ผกก.ปป.สน.หัวหมาก พ.ต.ท.พิพัฒน์ เต็งถาวร สว.สส.สน.หัวหมาก พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.4 ฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก และฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน ร่วมประชุมกันอย่างเคร่งเครียดกว่า 1 ชั่วโมง ในการคลี่คลายคดี ที่พวกเขาต้องสูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่าง"ผู้กองโอ๊ต"ไปอย่างไม่มีวันกลับ ประเด็นการประชุมในวันนั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจาก ต้องตามลากคอ"เอกขาว" ฆาตกรวายร้ายตัวนี้ให้ได้
ชุดสืบสวนกระจายกำลังกันออกไปตาม"จุดหมาย"ต่างๆ ที่คาดว่า "เอกขาว"วายร้ายตัวฉกาจจะหลบไปกบดาน โดยพ.ต.อ.อาณัติ เกล็ดมณี รองผบก.น.4 สั่งกำชับเป็นพิเศษว่า ผู้ต้องหารายนี้ รูปร่างสูงใหญ่ ทั้งชำนาญการใช้อาวุธปืน การเข้าจับกุมต้องระมัดระวัง เนื่องจากถือเป็นบุคคลอันตราย แและได้ประสานกับหน่วยอรินทราชไว้แล้ว หากพบตัวผู้ต้องหาไปหลบซ่อนในพื้นที่ใด
“เราได้สั่งการให้ตำรวจไล่บี้ทุกจุด สืบค้นในทุกๆ ที่ ที่เชื่อว่า นายเอกชัย หลบหนีอยู่ และคาดว่าจะสามารถจับกุมตัวได้ภายในเร็วๆ อย่างแน่นอน” พ.ต.อ.อาณัติ กล่าวแสดงควารมมั่นใจ หลังจากที่ต้องเสียลูกน้องมือดีไป
ถัดจากนั้นมาอีก 2 วัน (17 พ.ย.) พ.ต.อ.อาณัติ ก็ได้รับข่าวสำคัญ มีผู้ระบุว่า เป็นมารดาของ"เอกขาว" ฆาตกรรายนี้ ได้ประสานติดต่อมา เพื่อจะนำบุตรชายเข้ามอบตัวกับตำรวจ เนื่องจากเกรงว่า คดีที่บุตรชายกระทำลงไป เป็นคดีอุกฉกรรจ์ เกรงตำรวจจะวิสามัญฆาตกรรมเสียก่อน โดยผู้ที่อ้างว่าเป็นมารดาของ"เอกขาว"ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวไปยังรองผบก. สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลนายหนึ่ง ของเช้าวันนั้น
ระหว่างที่ข่าว"เอกขาว" ใช้อาวุธปืนยิงร.ต.อ.อาทิตย์ รองสารวัตรสืบโรงพักหัวหมากกำลังตกเป็นที่สนใจของประชาชนอยู่นั้น "เดอะวิน" พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผบ.ตร. ได้เฝ้าติดตามข่าวมาตั้งแต่ต้น จากนั้นจึงได้สั่งการให้ ตั้งชุดเฉพาะกิจไล่ล่า"เอกขาว"ขึ้นมา และแบ่งการทำงานออกเป็น 5 ชุด เริ่มแกะรอยจากกทม. แต่ไม่อยากให้ข้อมูลรั่วไหล ด้วยเกรงว่าคนร้ายจะไหวตัว จนในที่สุด ได้เบาะแสที่คนร้ายติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับญาติ จึงรู้ว่า "เอกขาว" หลบไปกบดานอยู่กับเพื่อนและคนรู้จักในพื้นที่จ.เพชรบูรณ์
รุ่งขึ้น (18 พ.ย.) ชุดสืบสวนของ"เดอะวิน" พล.ต.ท.อัศวิน ตามแกะรอย"เอกขาว"สำเร็จ โดยการข่าวแจ้งว่า "เอกขาว" เข้าไปหลบกบดานอยู่ในบ้านกึ่งทรงไทยในพื้นที่หมู่ 6 ต.วังหิน อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ทางเข้าไปบ้านหลังดังกล่าว เป็นถนนลูกรัง ห่างจากหมู่บ้านราว 2 ก.ม. เมื่อกรองข่าวแน่ชัดว่า "เอกขาว" เข้าไปกบดานที่บ้านหลังนั้น พล.ต.ท.อัศวิน สั่งการให้ชุดที่จะเข้าทำการจับกุมวายร้ายรายนี้ ประสานไปยังศูนย์ประสานงานบก.น.4 หน่วยอรินทราช บช.ภ.6 และสภ.อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์
ตำรวจเดินเท้าเข้าไปโดยการนำของพล.ต.ท.อัศวิน ตั้งแต่ 2 ทุ่มจนกระทั่งราว 4 ทุ่มครึ่งจึงถึงบ้านหลังนั้น จึงกระจายกำลังกันโอบล้อม จากนั้นตะโกนให้"เอกข่าว"ออกมามอบตัว อย่าคิดต่อสู้หรือหลบหนี ทว่าคำตอบที่ได้รับ กลับเป็นเสียงปืนที่ดังก้อง และห่ากระสุนที่พุ่งออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว เมื่อจับจุดต้นเสียงปืนได้ ตำรวจจึงระดมยิงเข้าใส่ จนผ่านพ้นไปราว 10 นาที ต้นเสียงปืนเงียบสงบลง และเมื่อสิ้นคำว่า"เคลียร์"ของหน่วยที่เข้าไปตรวจสอบในบ้านดังขึ้น พร้อมกับไฟในบ้านสว่างจ้าขึ้นนั้น บนห้องนอนชั้น 2 ก็พบศพชายรูปร่างสูงใหญ่ โกนศีรษะ นอนตายสภาพเปลือยเปล่าจมกองเลือดอยู่บนพื้นห้อง มือขวากำอาวุธปืน 11 ม.ม. สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดที่ราวนมซ้าย 2 นัด ท้องน้อยด้านซ้าย 1 นัด สะโพกขาขวา 2 นัดทะลุด้านหน้า
ในที่เกิดเหตุ ยังพบรอยกระสุนปืนตามฝาผนังห้อง และเพดานฝ้าเป็นรูพรุน ใกล้ศพพบเสื้อยืดสีขาวขลิบน้ำเงิน และโทร ศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกียอยู่ปลายเท้า 1 เครื่อง อยู่บนฟ้าเพดานอีก 1 เครื่อง พร้อมปลอกกระสุนปืนขนาด 9 ม.ม. ตกอยู่ 6 ปลอก บนฝ้าเพดานห้องเปิดเป็นช่องโหว่ มีเปลแขวน ตะเกียงแก้ว 1 ใบ พร้อมขวดเหล้ายี่ห้อหงส์ทอง 1 ขวดดื่มเกือบหมด มีกับแกล้มข้าวเกรียบและของขบ เคี้ยว คาดว่าคนร้ายนำมาดื่มกินซ่อนอยู่ในฝ้าเพดาน โดยศพนั้นเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก"เอกขาว" นายเอกชัย ชุนหชัย นอนแน่นิ่งในสภาพอุอาจตา ปิดตำนาน นักเลง นักพนัน และนักค้ายาเสพติดตัวยง
พล.ต.ท.อัศวินเล่าให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้ปิดล้อมตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าวในเวลากลางคืน เพราะคาดว่าคนร้ายมาหลบซ่อนอยู่ การทำงานเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยกำชับให้จับเป็น เพื่อไปรับโทษตามกฎหมาย แต่คนร้ายไหวตัวทันและยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ ประมาณ 10 นาที เมื่อเข้าไปเคลียร์พื้นที่ก็พบว่าเสียชีวิตแล้ว เป็นการ วิสามัญฆาตกรรม เป็นเหตุสุดวิสัย สถานการณ์พาไป อีกทั้งนายเอกชัยทุกคนรู้อยู่ว่าไม่ธรรมดา โชคดีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
"เมื่อเราไปถึงบ้านที่ผู้ต้องหาหลบซ่อนอยู่ ตำรวจที่เตรียมพร้อม ใส่เสื้อเกราะป้องกันทุกคน พยายามใช้วิธีการนิ่มนวล ตะโกนบอกให้มอบตัว แต่ผู้ต้องหายิงปืนใส่ตำรวจ ตำรวจต้องป้องกันตัว เพราะเกรงว่าจะเกิดการสูญเสียอีก เมื่อคนร้ายยิงสวนก็ต้องป้องกันโดยยิงตอบโต้จนถูกคนร้ายเสียชีวิต ส่วนเรื่องที่มีการติดต่อเข้ามอบตัว ผมไม่ทราบ เพราะอยู่ต่างจังหวัดตลอด" พล.ต.อัศวินกล่าว
ชีวิตหนึ่งในบทบาทหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่มุ่งมั่นทำหน้าที่เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ปราบปรามยาเสพติด อันเป็นบ่อนทำลายสังคมตัวฉกาจ มีอันต้องดับสูญไป ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของคนรอบข้าง กับอีกชีวิต ที่เป็นตัวบ่อนทำลาย ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เสวยสุข ก้าวอยู่บนเส้นทางนักเลง อันธพาล นักพนัน และนักค้ายา ที่ต้องมาพบจุดจบลงด้วยการถูก "วิสามัญฆาตกรรม" ช่างไม่คุ้มค่าเลย กับที่การสังคมต้องสูญเสีย"ผู้กองโอ๊ค" ร.ต.อ.อาทิตย์ บุปผา รองสว.สส.สน.หัวหมาก หนึ่งในทำเนียบ"นักสืบ" ที่พวกเราจะต้องคารวะต่อดวงวิญญาณดวงนั้นตลอดไป