แม้ว่าเวลานี้ ความจริงของชายหนุ่มที่ชื่อ “นธัญ โอมานันท์” หรือ “นาธาน โอมาน” ในวัย 32 ปี จะยังไม่ปรากฏกระจ่างชัด แต่ทว่าความจริงส่วนหนึ่ง ได้ถูกตีแผ่ออกมาบ้างแล้ว ทั้งจากหลักฐานต่างๆ ก็ดี จากคู่กรณีก็ดี หรือแม้แต่พฤติกรรมของ “นาธาน” เอง ณ ปัจจุบันก็ดี ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ส่วนหนึ่งแล้วว่า อะไรคืออะไร
หากมองย้อนกลับไปก่อนที่เรื่องราวทั้งหลายแหล่ยังไม่ได้เป็นประเด็นขึ้นมา ราวบ่ายสองโมงครึ่งของวันที่ 27 ก.ค.2552 หรือราวกว่า 4 เดือนที่ผ่านมา เรื่องของ “นาธาน” กลายเป็นจุดกำเนิดของเรื่องจริง-ไม่จริงที่เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลา 4 เดือนนั้น เมื่อ น.ส.จามจุรี แคสเชอร์ อายุ 33 ปี หรือดีเจ “เจเจ” ประจำคลื่น 105.5 MHz พร้อม น.ส.นพวรรณ ทองเจริญ อายุ 30 ปี หุ้นส่วนร้านกาแฟ เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ประสงค์ สุมหิรัมย์ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.หัวหมาก เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม หลังจากที่ได้มาลงบันทึกประจำวันไว้ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.เกี่ยวกับเรื่องเงินค่าเช้าร้านกาแฟ หลังจากที่ “นาธาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วน อาจจะยักยอกเงินค่าเช่าร้านกาแฟไป
ครั้งนั้น ดีเจเจเจบอกว่า เธอกับเพื่อนๆ หลายคน พร้อมทั้ง “นาธาน” ได้ร่วมหุ้นกันทำร้านกาแฟที่บริเวณแยกพระราม 9 และเช่าบ้านหลังหนึ่งตกแต่งเป็นร้านกาแฟ โดยเริ่มตกแต่งร้านตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งระหว่างการตกแต่งร้านนั้น เจ้าของบ้านไม่คิดค่าเช่า และเมื่อตกแต่งร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วได้เริ่มเปิดขายมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา โดยจะต้องเสียค่าเช่าเดือนละ 23,000 บาท ซึ่งเจ้าของบ้านให้จ่ายเป็นค่าประกันล่วงหน้าก่อน 3 เดือน เป็นเงิน 69,000 บาท เธอกับหุ้นส่วนคนอื่นๆ จึงได้รวบรวมเงินค่าประกันทั้งหมดให้ “นาธาน” เป็นคนนำไปจ่ายให้เจ้าของบ้าน
“ดีเจเจเจ” บอกต่อว่า “นาธาน” ได้แจ้งกับพวกเธอว่า เจ้าของบ้านจะเดินทางไปเมืองนอกเป็นเวลา 3 เดือน และให้พวกเธอรวบรวมเงินค่าเช่าอีก 3 เดือน จ่ายเป็นเงินก้อนทีเดียว พร้อมกับเงินล่วงหน้า พวกเธอจึงรวบรวมเงินอีก 69,000 ให้ “นาธาน” ไป จนกระทั่งวันที่ 14 ก.ค. เจ้าของบ้านได้มาทวงถามค่าเช้าบ้านจากพวกเธอ โดยบอกว่ายังไม่ได้ค่าเช่าเลยแม้แต่เดือนเดียว พวกเธอถึงกับงงว่าทำไมเงินไปไม่ถึงเจ้าของบ้าน ทั้งที่ได้รวบรวมเงินให้ “นาธาน” ไปให้เจ้าของบ้านแล้ว ต่อมาพวกเธอก็ได้พยายามติดต่อ “นาธาน” อยู่หลายวัน แต่ “นาธาน” กลับปิดเครื่องบ้าง ไม่รับสายบ้าง ปิดสายทิ้งบ้าง ทำให้ต้องตัดสินใจเข้าปรึกษาตำรวจ และลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ก่อน
“ก่อนจะเข้ามาให้ปากคำกับตำรวจเพิ่มเติม ดิฉันได้พยายามจะนัดพูดคุยกับนาธาน แต่เจ้าตัวไม่ยอมคุยอีก จึงต้องเดินทางมาให้ปากคำเพิ่มเติมกับร้อยเวร แต่ปรากฏว่าเมื่อมาถึงโรงพักก็พบตัวนาธานรออยู่แล้ว โดยนาธานอ้างว่าค่าเช่าบ้าน 3 เดือนนั้น เจ้าของบ้านลดให้เหลือ 60,000 บาท ซึ่งนาธานอ้างว่าจ่ายไปแล้วทั้งหมด 57,000 เหลือติดค้างอยู่แค่ 3,000 บาท และระหว่างที่กำลังพุดคุยกับนาธานอยู่นั้น เริ่มมีผู้สื่อข่าวมาที่โรงพัก พอเขาทราบก็รีบลุกขึ้นวิ่งหลบหนีไปดื้อๆ ซึ่งดิฉันยังไม่ได้สอบถามเพิ่มเติมว่าเงินค่าประกันล่วงหน้าอีก 69,000 ที่ให้ไปแล้ว จ่ายให้กับเจ้าของบ้านหรือยัง จึงขอให้นาธานนำหลักฐานมายืนยัน จะเป็นสลิปต์การโอนเงิน หรือหลักฐานต่างๆ ก็ได้ เพื่อยืนยันว่าได้จ่ายให้เจ้าของบ้านไปแล้ว” ดีเจเจเจกล่าวอย่างเหลืออดในวันนั้น
เรื่องของ “ดีเจเจเจ” กับ “นาธาน” เงียบหายไปร่วมแรมเดือน กระทั่งวันที่ 31 ส.ค. ดีเจเจเจก็เดินทางไปพบร้อยเวรสอบสวนอีกครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี ครั้งนี้ ดีเจเจเจบอกว่า หลังจากที่มีการแจ้งความและนัดเจรจาไกล่เกลี่ยกับนาธานมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2552 แต่ยังมีเงินบางส่วนที่ยังอยู่กับนาธาน เธอจึงอยากทวงถามร้อยเวรเจ้าของคดีว่า ทำไมคดีนี้ยังยืดเยื้ออยู่ ไม่มีการนัดหมายให้คู่กรณีมาชำระเงินคืนอีก
ระหว่างที่ดีเจเจเจกำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอยู่นั้น จู่ๆ กลับมีคู่กรณีของ “นาธาน” เดินทางขึ้นโรงพักมาพร้อมกัน 4 รายโดยมิได้นัดหมายกันไว้ มีน.ส.รัตติกรณ์ เลิศปลิตานนท์ อายุ 37 ปี น.ส.จารุพรรณ วีระวัฒนาเดช อายุ 31 ปี น.ส.นิพิวรรณ รัตสุทธิกุล อายุ 30 ปี และน.ส.ศรัญญา สิทธิธีรรัตน์ อายุ 31 ปี ได้พากันเข้าพบ ร.ต.ท.ภาสกร มณีรัตน์ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.หัวหมาก เพื่อรับเงินค่าเสียหาย จำนวน 77,000 บาทคืน ก่อนจะลงลายมือชื่อในบันทึกตกลงข้อความผิดอันยอมความกันได้และไม่ประสงค์จะให้ดำเนินคดีในความผิดทางแพ่งและอาญากับ “นาธาน”
ร.ต.ท.ภาสกร ร้อยเวรเจ้าของคดี บอกว่า ก่อนหน้านี้ผู้เสียหายทั้ง 4 ราย ได้เดินทางมาแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อ “นาธาน” ในข้อหายักยอกเงินค่าเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศเนปาล และเรียกร้องค่าเสียหายคืนจำนวนหลายแสนบาท แต่ในเวลาต่อมาคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย สามารถตกลงกันได้ จนกระทั่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาทางญาติผู้ใหญ่ของ “นาธาน” ก็นำเงินมาฝากไว้ให้กับผู้เสียหายทั้ง 4 ราย เป็นจำนวน 77,000 บาท แบ่งเป็นเงินชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 19,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหาย 3 ราย และอีก 1 ราย ชดใช้คืนให้ จำนวน 20,000 บาท ก่อนจะลงลายมือชื่อในบันทึกยอมความไม่ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาต่อกัน
ในวันนั้น ใช่ว่าเรื่องจะจบลงเพียงแค่นั้น แต่ในเวลาเดียวกันนั่นเอง ปรากฏร่าง น.ส.อรทัย ยิ้มละม้าย อายุ 27 ปี อดีตพนักงานบัญชี โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง เข้าพบ ร.ต.อ.สมเจตน์ พลเหลา พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.หัวหมาก เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ “นาธาน” ในข้อหาฉ้อโกง เพิ่มอีก 1 ราย พร้อมนำหลักฐานต่างๆ มาแสดงยืนยัน
น.ส.อรทัย ให้การต่อร้อยเวรในครั้งนั้นว่า เมื่อช่วงเดือน ต.ค.2551 ได้พบกับนาธาน ผ่านการแนะนำของคนรู้จักอีกทอด และเมื่อได้เจอกัน “นาธาน” ก็อ้างว่า ตัวเขาเองสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งเป็นหน้าห้องของผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสามารถช่วยเหลือให้สอบเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานฝ่ายพัฒนาเศรษฐกิจต่างประเทศการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งมีเงินเดือนสูงถึง 4 หมื่นกว่าบาทได้ ทำให้หลงเชื่อ และลาออกจากงานเดิม พร้อมกับโอนเงินค่าดำเนินการจำนวน 69,000 บาท และ ค่าเข้าสอบจำนวน 9,780 บาท รวมเป็นเงิน 78,880 บาท ผ่านทางธนาคารกรุงเทพ เข้าบัญชีไปให้ “นาธาน”
เหยื่อรายนี้ให้การต่อว่า หลังจากนั้น “นาธาน” ก็ได้นำใบเสร็จรับเงิน ซึ่งหัวกระดาษเป็นของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มาให้ โดยในใบเสร็จระบุว่าได้รับเงินค่าดำเนินการและค่าเข้าสอบ จำนวน 75,600 บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีตราประทับและลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ปรากฏอยู่ในใบเสร็จด้วย ทั้งที่ตอนแรกนั้น ได้โอนเงินไปให้ “นาธาน” จำนวน 78,880 บาท แต่ในใบเสร็จกลับระบุมาเพียงเท่านี้ แต่เงินหายไป 3,200 บาท ทั้งนี้ ยังไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งได้เดินทางไปสอบเมื่อช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แล้วรอฟังผลสอบในอีก 1 เดือนต่อมา แต่ปรากฏว่าผลออกมากลายเป็นสอบ “ไม่ผ่าน”
“ดิฉันรีบโทร.ไปสอบถามนาธาน แต่เขาตอบว่ากำลังติดงานถ่ายหนังอยู่ในต่างประเทศ หากกลับมาเมืองไทยแล้วจะรีบไปดำเนินการให้ หลังจากนั้น ดิฉันก็พยายามโทรศัพท์ไปทวงถามอีกเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า จนเห็นว่ามีข่าวในเชิงเสียหายออกมาอยู่ตลอดเวลา จึงตัดสินใจเดินทางมาแจ้งความเอาไว้ก่อน แต่ถ้านาธานสามารถหาเงินมาคืนได้ ก็พร้อมเจรจาและจะยุติเรื่องด้วยดี” น.ส.อรทัย ให้การพนักงานสอบสวนไว้ในคราวนั้น
เรื่องราวจริง-ไม่จริง เท็จ-ไม่เท็จของ “นาธาน” ถูกสื่อส่วนใหญ่เป็นสื่อสายบันเทิงไปขุดคุ้ยมาจนกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนกล่าวขานกันทั้งบ้านทั้งเมือง บ้างก็ว่า “นาธาน” ถูกใส่ร้าย บ้างก็ว่าไม่น่าเชื่อ หรือแม้กระทั่งทำไมดาราหนุ่มผู้มีอนาคตคนนี้จึงตลบตะแลงสิ้นดี
คดีความของ “นาธาน” ใช่จะจบลงเพียงแค่ที่เอ่ยมา แต่เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่เพิ่งผ่านมา น.ส.สมาน เสริมสุข อายุ 46 ปี ชาวอำนาจเจริญ พร้อมด้วยนายอาทิตย์ กุลฝ้าย อายุ 24 ปี บุตรชาย เดินทางเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ต.ปิยเชษฐ์ เลื่อนพลับ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.หัวหมาก เพื่อให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่า ถูก “นาธาน” ขอยืมเงินไปลงทุนทำธุรกิจทัวร์ แต่ยังไม่ยอมใช้หนี้คืน
น.ส.สมาน ให้การไว้กับพนักงานสอบสวนว่า ทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดคอนโดมิเนียม ซอยอุดมสุข 54 ให้ “นาธาน” มานานกว่า 10 ปี จนมีความสนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจกัน และเมื่อปลายปีที่แล้ว “นาธาน” ได้มาขอยืมเงิน 50,000 บาท อ้างว่ จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายและทำทัวร์ จึงไปหาเงินมาให้ ไม่นาน “นาธาน” ก็นำเงินมาคืนจนครบ และต่อมาในช่วงกลางปี “นาธาน” ก็ได้มาขอยืมเงินอีกครั้ง โดยบอกว่าจะนำไปทำทัวร์เหมือนเดิม จึงได้นำที่นาของตนเองใน จ.อำนาจเจริญ เนื้อที่ 15 ไร่ ไปจำนองไว้กับ ธ.ก.ส.อำนาจเจริญ ได้เงินมา 120,000 บาท ก็นำไปให้ทั้งหมด
ต่อมา “นาธาน” มาขอยืมเงินอีก ก็สู้บากหน้าไปกู้เงินนอกระบบมาให้อีก 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 127,000 บาท และยังให้ญาติที่ต่างจังหวัดเอาที่ดินไปจำนองแล้วนำเงินมาให้อีก 30,000 บาท รวมเงินที่ “นาธาน” ติดหนี้อยู่ประมาณ 300,000 บาท โดย “นาธาน” รับปากว่า หลังได้เงินจากการถ่ายภาพยนตร์ที่เมืองนอกเสร็จแล้วจะเอามาใช้คืนให้
สุดท้ายระหว่าง “นาธาน” กับอดีตแม่บ้านก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต มีการเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อ “นาธาน” อีกคดีที่ จ.อำนาจเจริญ ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่นาน นายอาทิตย์ กุลฝ้าย บุตรชาย น.ส.สมาน เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.อนุรักษ์ รามสูตร พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.คลองตัน ว่าถูกขู่ฆ่า พร้อมนำตรายางของนาธานจำนวนกว่า 10 อัน มาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบด้ว โดยระบุว่าเวลาประมาณ 22.00 น.ของวันที่ 7 พ.ย.เพื่อนสนิทของตนมาบอกว่าให้ระวังตัวไว้ เพราะกำลังถูกตามฆ่า เนื่องจากไปได้ยินเจ้านายของเขากับเพื่อนสนิทของแม่เลี้ยงนาธานนั่งคุยโทรศัพท์กันเกี่ยวกับเรื่องของตน และได้บอกกับเจ้านายตนว่า มีคำสั่งให้เก็บตน ซึ่งเจ้านายของเพื่อนตนยังบอกให้อยู่ห่างๆ ตนไว้ด้วย เพราะเกรงจะเดือดร้อนไปด้วย
นอกเหนือจากบรรดาผู้ที่ได้ชื่อว่าตกเป็นเหยื่อของ “นาธาน” ที่เข้าแจ้งความดำเนินคดี รวมทั้งที่เข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ยให้ได้ข้อยุติแล้ว ยังมีประเด็นของ “น้องอ้อม” น.ส.เสาวนีย์ ฤทธิโชติ สาวดักแด้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็มีเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับตัว “นาธาน” ด้วย ส่วนบทสุดท้ายของดารานักร้องหนุ่มผู้นี้จะลงเอยอย่างไร คดีความที่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะเป็นบทพิสูจน์เองว่า “นาธาน” โกหกหลอกลวงหรือไม่ ข้อเท็จจริงทั้งหมด จะต้องถูกชำแหละกันบนชั้นศาล และเมื่อนั้น ความจริงจะปรากฏสู่สาธารณชนเอง
ส่วนเรื่องสัญชาติก็ดี เรื่องการถ่ายทำภาพยนตร์กับต่างประเทศก็ดี แม้มิได้มีการนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ตัวนาธานเองย่อมรู้ดีว่า “ความจริง” เป็นเช่นไร เรื่องแบบนี้ “พูดจริงง่ายกว่า” ตามชื่อเพลงที่ตัวเองเคยร้องไว้ แต่หากยังเข้าไม่ถึง ก็จะขอยกคำพระที่ใช้สอนคนที่มักพูดโกหกเสมอไว้ว่า “หทยสฺส สทิสี วาจา = วาจาเป็นเช่นเดียวกับใจ” และ “อภูวาที นิรยํ อุเปติ = คนพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก”