สาวใหญ่เจ้าของธุรกิจสปาย่านรามอินทรา ร้องขอความเป็นธรรมจต่อกองปราบฯ อ้างถูกตำรวจ กก.สส.บก.น.1 ขู่กรรโชกใช้หนี้จากการพนัน 10 ล้าน ให้กับนายทุนบ่อนการพนันในซอยลาดพร้าว 101 แถมบังคับให้ยินยอมโอนบ้าน พร้อมที่ดิน 14 ล้าน เพื่อชดใช้หนี้
วันนี้ (5 พ.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 14.00 น.นางวรางค์รัตน์ สืบนพรัตน์ อายุ 41 ปี เจ้าของธุรกิจสปาย่านรามอินทรา อยู่บ้านเลขที่ 580/79 ถนนลาดพร้าว ซอย 36 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม.เข้าพบ พ.ต.ต.มาโนช สวนดอกไม้ พนักงานสอบสวน (สบ 2) กก.1 บก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 ข่มขู่กรรโชกทรัพย์ให้ชดใช้หนี้สินจากการพนันจำนวน 10 ล้านบาท ให้กับนายทุนบ่อนการพนันแห่งหนึ่งภายในซอยลาดพร้าว 101 โดยบังคับให้ยินยอมโอนบ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 14 ล้านบาท เพื่อชดใช้หนี้สินดังกล่าว
นางวรางค์รัตน์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา ประมาณ 02.30 น.ขณะที่ตนกำลังเล่นพนันไพ่บาคาร่าในบ่อนดังกล่าว ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 รวม 16 นาย เข้ามาจับกุมนักพนัน รวม 9 ราย จากนั้นตำรวจได้ควบคุมตัวนักพนันไปดำเนินคดีที่ สน.ลาดพร้าว 6 ราย ส่วนตนกับแฟนหนุ่ม คือ นายปพน หรือ กำธร ดาวเงิน และ นายอำนาจ ไม่ทราบนามสกุล ถูกคุมตัวไปยัง บก.น.1 จากนั้นนายทุนภายในบ่อนที่ตนเสียพนันเข้ามาเจรจาให้ชดใช้หนี้
นางวรางค์รัตน์กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นตำรวจมาบอกตนว่าแฟนหนุ่มมีหมายจับคดีฆ่าผู้อื่นที่ จ.เชียงใหม่ ครอบครองอาวุธปืน หากไม่อยากให้ส่งตัวไปดำเนินคดีขอให้ชดใช้หนี้เงินกู้กับทางเจ้าหนี้โดยให้ตนเซ็นหนังสือยินยอมรับสภาพหนี้ พร้อมกับเซ็นเช็คฉบับละ 5 ล้านบาท รวม 2 ฉบับ ไว้เป็นหลักประกัน
นอกจากนี้ ทางเจ้าหนี้เงินกู้ทราบว่าตนมีทรัพย์สินเป็นบ้านพร้อมที่ดินใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มูลค่า 14 ล้านบาท แต่เป็นชื่อของลูกชายและลูกสาว จึงบอกให้ตนไปโอนทรัพย์สินดังกล่าว เพื่อนำมาใช้คืนหนี้สิน ตนยืนยันว่า เหตุที่ยินยอมทำตาม เพราะต้องการให้แฟนหนุ่มไม่ต้องถูกดำเนินคดี
นางวรางค์รัตน์กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตำรวจกลับส่งตัวแฟนหนุ่มไปยังเรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ได้ทำตามที่ตกลงกับตนไว้ จึงกลายเป็นว่าตนถูกนำเรื่องหมายจับของแฟนหนุ่มมาเป็นเพียงเครื่องต่อรองและข่มขู่ นอกจากนี้ ตนยังทราบว่าการดำเนินการทั้งหมดของตำรวจกับนายทุนบ่อนพนันเจ้าหนี้ตน เป็นการสมรู้ร่วมคิดกัน โดยตำรวจจะได้ส่วนแบ่ง 30% จากการบังคับเอาหนี้เงินกู้จากตนครั้งนี้
“ฉันยอมรับเรื่องหนี้สิน แต่ก็พร้อมจะผ่อนชำระคืนทั้งหมด แต่การดำเนินการของตำรวจที่ร่วมมือกับเจ้าหนี้ข่มขู่บังคับเช่นนี้ ฉันยอมรับไม่ได้ และขอให้มีการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับตำรวจรายอื่นๆ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ ฉันได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาแล้วก่อนหน้านี้ แต่เรื่องก็เงียบหาย เหมือนพวกเขาช่วยพวกเดียวกันเอง” นางวรางค์รัตน์กล่าว
ด้าน พ.ต.ต.มาโนช ได้รับเรื่องไว้ก่อนทำการสอบปากคำผู้เสียหาย จากนั้นจะส่งเรื่องให้ พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) ดำเนินการต่อไป