xs
xsm
sm
md
lg

"ปริญญา"ความสำเร็จหลังกำแพงบางขวาง!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ภาพข่าวนักโทษชาย(นช.)เสริม สาครราษฎร์ และน.ช.วรยศ บุญทองนุ่ม หรือแพท พาวเวอร์แพท อดีตนักร้องนำวงพาวเวอร์แพท ค่ายอัพจี ในเครือบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ในชุดครุยรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หรือมสธ. เข้าสวมกอกมารดาและญาติพี่น้อง ในโอกาสที่กรมราชทัณฑ์ จัดพิธีฉลองปริญญาบัตรให้กับบรรดานักโทษที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี ในสาขาวิชาต่างๆ ท่ามกลางความปลื้มปีติของทั้งนักโทษ ญาติพี่น้อง และผู้คุม ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
         
          นอกเหนือจาก 2 นักโทษคนดังแล้ว ยังมีนช.นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ ที่ได้รับปริญญาเป็นใบที่ 3 และ นช.นพ.ศรชาติ ศิริโชติ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีภายในกำแพงสี่เหลี่ยม แห่งคุกบางขวางแห่งนี้อีกใบ โดยในปีนี้ มีนักโทษเด็ดขาด ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญาตรีจาก มสธ. ประจำปี 2551 จำนวน 269 คน ใน 6 สาขาวิชา โดยตั้งแต่ปี 2527 มีนักโทษจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก มสธ.จำนวน 1,261 คน แยกเป็นชาย 1,134 คน หญิง 127 คน
         
          คงต้องย้อยกลับไปดูอดีตอันขมขื่น ก่อนจะเข้ามาอยู่ภายในกำแพงสี่เหลี่ยม สถานที่จำกัดอิสรภาพแห่งนี้ เขาเหล่านั้น เคย"เปิดบัญชีดำ"อะไรไว้บ้าง
         
          "เสริม สาครราษฎร์" ฆ่าหั่นศพ"เจนจิรา"
          30 ม.ค.2541 นายสมคิดและนางสุดา พลอยองุ่นศรี เข้าแจ้งความกับตำรวจสน.พญาไทว่า น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี บุตรสาว หญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาน่ารัก ในวัยสดใส นักศึกษาแพทย์ของวชิรพยาบาล หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย การสืบสวนของตำรวจพบเบาะแสว่า ก่อนที่"เจนจิรา"จะหายตัวไป เธอได้พบกับ นักเรียนแพทย์เสริม สาครราษฎร์ แฟนหนุ่ม นักเรียนแพทย์จากสถาบันเดียวกัน เป็นครั้งสุดท้ายที่ห้างเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ (ชื่อขณะนั้น) ตำรวจจึงไม่รีรอ เรียกตัวแฟนหนุ่มมาสอบปากคำ พร้อมทั้งจับตรวจร่างกาย และตรวจค้นรถทันที แต่ไม่พบร่องรอยอะไรที่จะเป็นหลักฐาน โดย"เสริม"ให้การว่า การพบกันครั้งนั้น ทั้งคู้ทะเลาะกัน และจากกันไปด้วยความน้อยใจกันและกัน
         
          แม้ไม่พบหลักฐานสำคัญอะไร แต่พิรุธในการให้การ ตำรวจยังคงปักใจเชื่อว่า "เสริม"น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ จากนั้นอีก 1 สัปดาห์ต่อมา ตำรวจนำตัว"เสริม" ไปเข้าเครื่องจับเท็จ โดยมีผลออกมาว่า คำตอบของเสริม โกหกหลายครั้ง ทั้งยังวกไปวนมา และเมื่อตำรวจทราบผลจากเครื่องจับเท็จ จึงกลับไปตรวจค้นรถของเขาอย่าละเอียดอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนั้นก็พบหลักฐานสำคัญ เป็นคราบเลือดที่ท้ายกระโปรงรถ และกระดุมเสื้อสตรี 1 เม็ด เมื่อถูกเค้นหนัก "เสริม"จึงยอมรับสารภาพว่า เขาบีบคอ"เจนจิรา"ตจนตายคามือ แล้วชำแหละศพนำไปทิ้งตามสถานที่ต่างๆ
         
          จากนั้นมา "เสริม" ถูกดำเนินคดี และนำตัวขึ้นสู่ศาล ทว่า เขากลับให้การปฏิเสธในชั้นศาลโดยสิ้นเชิง ด้วยหวังว่า ตำรวจไม่สามารถหาพยานหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะศพ"เจนจิรา"มาได้ และระหว่างที่ถูกดำเนินคดีในชั้นศาลนั่นเอง จู่ๆ ตำรวจได้รับแจ้งว่า มีงูเหลือมขึ้นบ้านย่านฝั่นธนบุรี จึงเดนทางไปพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัย และเปิดฝ้าเพดานบ้านที่งูเหลือมเข้าไปหลบ ซึ่งนอกจากงูเหลือมแล้ว ยังพบ"ถุงดำ"อยู่บนฝ้าเพดานด้วย โดยเมื่อตำรวจเปิดถุงดำออกมา ความจริงทั้งหมด จึงปรากฏ เพราะในถุงดำนั้น มีเสื้อผ้า และสิ่งของต่างๆของ"เจนจิรา"อยู่ครบ ซึ่งในที่สุด "เสริม"ก็ยอมรับสารภาพกลางศาลว่า เขาใช้อาวุธปืนยิงแฟนสาวจนเสียชีวิต และทำการชำแหละศพนำชิ้นส่วนไปทิ้ง ภายในห้อง ในหอพักนักศึกษาแพทย์นั่นเอง สุดท้ายศาลพิพากษาประหารชีวิต แต่ลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ และฎีกา ซึ่งในชั้นฎีกา จำเลย อ้างว่า "ถูกผู้ตายข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมเพราะจำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กันฉันคนรัก แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ จำเลยจึงบันดาลโทสะฆ่าผู้ตาย"
         
          แต่ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้อย่างจับใจว่า " “ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริง คือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรัก ความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิดและการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความผิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียวมิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตายหาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง” ดังนี้ แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษประหารชีวิต และลดโทษให้จำเลยแล้ว คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวนั้น"
         
          "วรยศ บุญทองนุ่ม" แพท พาวเวอร์แพท ค้ายาอี
          ถูกจับตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเสษ 191 จับกุมราวเดือนเม.ย.2547 ขณะนำยาอี 10 ถุง บรรจุถุงละ 100 เม็ด รวม 1,000 เม็ด มาส่งมอบให้นายชุง คิง ฟุ ชาวฮ่องกง ที่ลานจอดรถอาคารชุดบดินทร์ สวีทโฮม 2 ซอยลาดพร้าว 94 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. และเมื่อขึ้นไปตรวจค้นในห้องพักเลขที่ 312 ของนายวรยศก็พบยาอี 1,989 เม็ด ยาเคชนิดน้ำจำนวน 4 ขวด และกัญชาอีก 1 ห่อ
         
          การต่อสู้คดีในชั้นศาลดำเนินไปจนถึงวันพิพากษา ศาลจึงพิพากษาว่า นายวรยศมีความ ผิดฐานมียาอีในครอบครอง ให้จำคุกตลอดชีวิต ปรับ 1 ล้านบาท ฐานจำหน่ายยาอี จำคุกตลอดชีวิต ปรับ 1 ล้านบาท มีกัญชาเพื่อเสพ จำคุก 4 เดือน มียาเคเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี คำรับสารภาพมีประโยชน์ คงลดโทษ ให้กึ่งหนึ่ง ให้รับโทษฐานครอบครองจำคุก 25 ปี ปรับ 5 แสนบาท ฐานจำหน่าย 25 ปี ปรับ 5 แสนบาท ฐานมี กัญชา จำคุก 2 เดือน ครอบครองยาเค จำคุก 2 ปี 6 เดือน ทั้งนี้ กฎหมายอาญาให้ลงโทษแล้วไม่เกิน 50 ปี คงจำคุก นายวรยศเป็นเวลา 50 ปี ปรับ 1 ล้านบาท
         
          "นพ.ศรชาติ ศิริโชติ" ฆ่าเผารักสามเส้า
          เกิดขึ้นเมื่อ 26 ตุลาคม 2545 โดยนพ.ศรชาติ ศิริโชติ ใช้มือสองข้างบีบคอพญ.พัทธนันท์ ไชยวงศ์ เป็นเวลานานจนถึงแก่ความตาย และพญ.กนกวรรณ ไอรมณีรัตน์ เข้าร่วมในการอำพรางทำลายศพของพญ.พัทธนันท์ โดยนำศพพร้อมรถยนต์ไปเผาทำลายเพื่ออำพรางคดีริมทางหลวงหมายเลข 11 ตรงหลักกิโลเมตรที่ 136-137 หมู่ 2 ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ซึ่งภายหลังพ.ต.อ.ปิยบุตร อัฉริยะมงคล ผกก.สภ.อ.เด่นชัย และทีมสืบสวนสามารถจับผู้กระทำผิดได้ภายใน 1 สัปดาห์หลังเกิดเหตุ
         
          ครั้นวันที่ 2 ธ.ค.2547 ศาลจังหวัดแพร่ พิพากษาษาให้น.พ.ศรชาติ มีความผิดตามฟ้อง โดยระบุว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 (นพ.ศรชาติ) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำคุกตลอดชีวิต และจำเลยทั้งสองให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ฐานร่วมกันทำลายศพเพื่ออำพรางคดีจำคุกคนละ 3ปี จำเลยที่ 1(นพ.ศรชาติ) บรรเทาผลร้ายด้วยการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่มารดาของผู้ตายจนไม่ติดใจเอาความประกอบกับคำให้การและทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 หนึ่งในสาม คงลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันทำลายศพเพื่ออำพรางคดี จำคุก 2 ปีรวม 2 กระทงจำคุก 35 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 (พญ.กนกวรรณ) ให้จำคุก 3 ปี ฐานร่วมกันทำลายศพเพื่ออำพรางคดี
         
          "นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์" จ้างวานฆ่า"ศยามล"
          เหตุเกิด 29 ก.ย.2536 ในพื้นที่สภ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี คดีนี้ เป็นคดีที่อยุ่ในความทรงจำของผู้คน โดยนางศยามล ลาภก่อเกียรติ ถูกสังหารตายในรถเก๋ง โดยมี"น้องอิงอิง"ลุกสาวผู้ตายวัย 2 ขวบ นั่งร้องไห้ เอากระดาษทิชชู ซับเลือดจากบาดแผลถูกแทงบนอกของมารดา โดยตำรวจเชื่อว่า เด็กทำอย่างนั้นอยู่ราว 6 ชั่วโมง กว่าจะมีผู้ไปพบเหตุ และตำรวจใช้เวลาเพียง 3 สัปดาห์ จึงสามารถจับฆาตกรโหดได้ยกแก๊ง รวมทั้งนพ.บัณฑิต ในฐานะ"ผู้จ้างวานฆ่า
         
          คดีสะเทือนขวัญนี้ อัยการจังหวัดเพชรบุรียื่นฟ้องหมอบัณฑิตและพวกเมื่อ 22 ธ.ค.2537 ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตนพ.บัณฑิต และตัดสินจำคุกตลอดชีวิตทีมฆ่าอีกสามคน หลังจากนั้นนพ.บัณฑิตยื่นอุทธรณ์ แต่ไม่เป็นผล ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น สุดท้ายเมื่อ 23 ธ.ค. 2539 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัจจุบันนพ.บัณฑิตได้รับการอภัยโทษจากการประหารชีวิต และได้รับการลดโทษลง 1 ใน 4 โดยโทษประหารชีวิตจะลดลงเหลือจำคุก 40 ปีตามลำดับ
         
          แม้แต่ละคน จะมีอดีตที่ข่มขื่น ยากที่จะลืมเลือน แต่สุดท้าย ต่างก็ไขว้คว้าความสำเร็จมาได้ เพราะการศึกษา ไม่เคยมีคำว่า"สายเกินไป"เสมอ แม้จะเป็นความสำเร็จหลังกำแพงก็ตาม 
          
          

         










กำลังโหลดความคิดเห็น