นัดพร้อมคดีนักรบศรีวิชัย บุกยึดเอ็นบีที อัยการโจทก์ขอนำสืบพยาน 200 ปาก ฝ่ายจำเลยขอพยานสู้ 115 นัด ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก 2 ก.ย.ปีหน้า พร้อมสั่งออกหมายจับ 3 นักรบศรีวิชัยฐานหลบหนีไม่มาศาล
วันนี้ (14 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันสืบพยานในคดีหมายเลขดำ อ.4486/2551 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายธเนศร์ คำชุม กับพวก ที่เป็นนักรบศรีวิชัย และการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวม 82 คน เป็นจำเลยที่ 1-82 ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปหรือซ่อนตัวในเคหสถาน หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92, 210, 215, 309, 358, 364, 365 และ 371 พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490, พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2545 และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2535 กรณีระหว่างวันที่ 22-25 ส.ค.51 จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันประชุมวางแผนระดมจำนวนคนบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีวิทยุโทรทัศน์ เอ็นบีที และร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 7.62 มม.จำนวน 1 กระบอก และซองกระสุนปืนจำนวน 1 ซอง กระสุนปืนไม่ทราบขนาด จำนวน 5 นัด และอาวุธปืนพกสั้นรีวอลเวอร์ ขนาด .38 และกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 45 นัด โดยไม่รับอนุญาต
โดยวันนี้ จำเลยทั้งหมดยกเว้น นายธนพัฒน์ วิไลภรณ์ จำเลยที่ 12, นายศุภชัย สมทอง จำเลยที่ 28 และนายมานิตย์ อรรถรัฐ จำเลยที่ 42 เดินทางมาศาล ทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยที่ 12 ถูกคุมขังในคดีอื่นอยู่ที่เรือนจำพิเศษธนบุรี จำเลยที่ 12 ได้รับหมายเกณฑ์เป็นทหารและถูกส่งตัวไปช่วยราชการที่ จ.นราธิวาส ไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนจำเลยที่ 42 ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดตรัง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าในส่วนของจำเลยที่ 12 ศาลได้หมายเรียกไปยังเรือนจำพิเศษธนบุรี แต่ไม่สามารถติดต่อได้จึงไม่ทราบว่าจำเลยได้รับการปล่อยตัวแล้วหรือไม่ ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ 28 และ 42 เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าของเพื่อนจำเลยไม่มีเอกสารหลักฐาน หรือใบรับรองแพทย์ยืนยัน กรณีจึงมีเหตุให้สงสัยว่าจำเลยที่ 12, 28 และ 42 อาจหลบหนีจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับและปรับนายประกัน
ต่อมาอัยการโจทก์แถลงขอนำสืบพยานรวม 200 ปาก ประกอบด้วยผู้สื่อข่าว และพนักงานสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม โดยใช้เวลาพิจารณารวม 36 นัด ส่วนทนายจำเลยขอสืบพยาน 115 ปาก ใช้เวลา 15 นัด
ทั้งนี้ จำเลยทั้งหมดยังขอให้ศาลสืบพยานลับหลัง เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด และมีภารกิจต้องประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ศาลสอบถามอัยการโจทก์ค้านว่าในการสืบพยานโจทก์ช่วงแรก พยานส่วนใหญ่เป็นประจักษ์พยานที่จะต้องชี้ตัวจำเลย ศาลพิจารณาแล้วจึงยังไม่อนุญาตให้สืบพยานลับหลังจำเลยในช่วงการสืบพยานโจทก์ 18 นัดแรก แต่หลังสืบพยานโจทก์ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วขอให้ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังเข้ามาอีกครั้ง ส่วนวันนัดสืบพยานให้โจทก์และจำเลยกำหนดนัดกันอีกครั้ง โดยให้เริ่มต้นสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 2 ก.ย.2553