โฆษกพรรคเพื่อไทยยังเกาะติดข้อสงสัยสัญชาติ “ศิริโชค โสภา” เดินหน้ายื่นหนังสือ ผบ.ตร.ตรวจสอบข้อเท็จจริง ขู่หากเมินเฉยจะดำเนินคดี “พัชรวาท” ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
วันนี้ (4 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เดินทางยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อให้ตรวจสอบสัญชาติ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มเติม โดยมี พ.ต.อ.สุทธินาท สุดยอด รองเลขานุการ ตร.เป็นผู้รับเรื่อง
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรมและภูมิหลังของนายศิริโชค ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี กรณีแทรกแซง ก้าวก่ายการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ และได้กล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจระดับสูงซื้อขายตำแหน่ง โดยในจดหมายดังกล่าวตนได้ขอให้ตรวจสอบสัญชาติของนายศิริโชค รวมถึงการกระทำผิดกฎหมายอาญาของนายศิริพจน์ โสภา พี่ชายนายศิริโชค นอกจากนี้ ตนได้รับเชิญให้ไปออกรายการทางโทรทัศน์ช่อง 3 เพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายศิริโชคได้นำสูติบัตรมาแสดง และยอมรับว่าบิดาเป็นคนสัญชาติลาว ซึ่งตนได้ขอสำเนาสูติบัตรไปตรวจสอบแต่ได้รับการปฏิเสธ
“เรื่องสัญชาติของ ส.ส.เป็นเรื่องสำคัญ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่จะสมัคร ส.ส.ได้นั้น จะต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิด แต่เอกสารที่เกี่ยวข้องกับนายศิริโชคส่อให้สงสัยว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยด้วยการเกิดหรือไม่ ซึ่งการตรวจสอบจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เพราะหากพบว่านายศิริโชคไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดแล้วก็ไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ซึ่งการเป็น ส.ส.ทั้ง 3 ครั้ง ย่อมเป็นอันเสียไป ซึ่งต้องคืนค่าตอบแทนและประโยชน์ต่างๆ ให้กับรัฐทั้งหมด ผบ.ตร.ในฐานะเจ้าพนักงานจะต้องดำเนินการตรวจสอบในเชิงลึก เพื่อให้ได้มาถึงข้อเท็จจริง ซึ่งจะให้เวลาดำเนินการ แต่หากเพิกเฉย ตนจะดำเนินคดี ผบ.ตร.ฐานะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” นายพร้อมพงศ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามขั้นตอนการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องมีการตรวจสอบอยู่แล้ว นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าตนไม่เชื่อมั่นการทำงานของ กกต. แต่การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ใช้หลักฐานเพียงบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านเท่านั้น ไม่ได้มีการขอดูสูติบัตร และ ใบส.ด.9 หรือมีการตรวจสอบในเชิงลึก นอกจากนี้ตนอยากให้ตรวจสอบการไปศึกษาต่อต่างประเทศของนายศิริโชคว่าเรื่องดังกล่าวเป็นจริงจริงหรือไม่ เนื่องจากอ้างว่าที่มาทำบัตรประชาชนตอนอายุ 22 ปี เพราะไปศึกษาต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุ 10 ขวบ