"ทีมของผม เฝ้าติดตามพฤติกรรมของวัยรุ่นกลุ่มนี้มานานพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นเด็กในชุมชน ไม่มีงานทำ ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือไม่ก็เรียนไม่จบ วันๆเอาแต่จับกลุ่มกินเหล้า เข้าร้านเกม ซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ เลยเกิดความสงสัยว่า เด็กกลุ่มนี้ เอาเงินมาจากไหน ทั้งๆที่ไม่มีงานทำ"
พ.ต.ท.พิพัฒน์ เต็งถาวร สว.สส.สน.หัวหมาก บอกถึงที่มาที่ไป ของการพิชิตคดีกลุ่มคนร้ายปล้นทรัพย์ ซึ่งถูกฝ่ายสืบสวนของสน.หัวหมากจับกุมได้เมื่อคืนวันที่ 10 ส.ค. รวม 5 คนประกอบด้วย นายเสกสรร หรือ ต้น ธรรมรักษา อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ 13 ต.คลองหาด อ.คลองหาด จ.สระแก้ว นายณัฐ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นายภพ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นายแบงก์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี และ นายแชมป์ (นามสมมติ) อายุ 16 ปี พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง และ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า สปาร์ค 135 สีน้ำเงิน-ดำ หมายเลขทะเบียน ขตม 821 สุราษฎร์ธานี
"ระหว่างที่ทีมของผมเฝ้าจับตาพฤติกรรมกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้อยู่ ให้บังเอิญว่าช่วงเวลา 18.30 น.ของวันที่ 9 ส.ค. ทีมของผมไปพบนายเสกสรร หรือ ต้น ธรรมรักษา กับพวกอีก 2 คน กำลังลงมือปล้นเหยื่ออยู่บริเวณหน้าร้านสเปดเวิลย์ ซอยรามคำแหง 24 จึงเข้าจับกุมทันที แต่จับได้เพียง นายเสกสรรคนเดียว ส่วนที่เหลืออีก 2 หลบหนีไปได้"พ.ต.ท.พิพัฒน์บอก
ตามแนวทางการสืบสวน แม้จะได้ผู้ต้องมาเพียงคนเดียว ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสามารถที่จะนำไปขยายผลถึงเพื่อนร่วมแก๊งได้ทั้งหมดว่ามีใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหนบ้าง !!
"ผมง้างปากเจ้าต้น คนร้ายที่จับได้คาหนังคาเขา จึงทราบว่า อีก 2 คนที่หลบหนีไปได้คือ นายณัฐ (นามสมมติ) กับ นายภพ (นามสมมติ) อายุ 17 ปีเท่ากัน จากนั้น จึงส่งทีมไปรวบตัวไว้ได้ทั้ง 2 คน"
"หลังจากที่พวกเราเค้นสอบเจ้าต้น กับเพื่อนมันอีก 2 คนที่จับมาได้ภายหลัง ทำให้ถึงกับอึ้ง โดยเจ้าต้นรับสารภาพว่า ที่ถูกตำรวจจับได้คาหนังคาเขาขณะลงมือปล้นเหยื่อนั้น เป็นการลงมือปล้นครั้งที่ 4 ในรอบวัน โดยตลอดทั้งคืนวันที่ 9 ต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 10 ส.ค. เจ้าต้นกับพวกก่อเหตุปฏิบัตติการมาแล้วถึง 3 ครั้ง และมาถูกจับขณะลงมือในครั้งที่ 4"
สารวัตรสืบโรงพักหัวหมาก บอกกับเราต่อว่า นอกเหนือจากนายณัฐ กับนายภพ ที่ถูกตามจับกุมได้ภายหลังแล้ว ยังมีเพื่อนร่วมแก๊งอีก 3 คน มีนายแบงก์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นายแชมป์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี และนายตั้ม (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ซึ่งต่อมาฝ่ายสืบสวนของเรา ก็ตามไปจับกุมนายแบงก์กับนายแชมป์ได้ แต่นายตั้มนั้น พลาดไปนิดเดียว จึงหลบหนีไปได้
"พวกเราเค้นสอบเจ้าต้นกับพวกอีกครั้ง ถึงรายละเอียดของการปฏิบัติการลงมือจี้ปล้นในคืนเดียว 4 รายซ้อน จนมันยอมเปิดปากบอกจนหมดเปลือก ประกอบกับเรานำบันทึกประจำวันของฝ่ายสอบสวนมาดู จึงทราบถึงการลงมือจี้ปล้นของพวกมัน ซึ่งสอดคล้องกับการให้การของเจ้าต้น ว่า ราวเที่ยงคืน 10 นาที เจ้าต้น เจ้าแบงก์ เจ้าแชมป์ และเจ้าตั้ม ที่หลบหนีไปได้ ขี่รถจักรยานยนต์ตระเวณออกหาเหยื่อ จนไปถึงบริเวณหน้าบ้านเลขที่ 61 ในซอยรามคำแหง 52 มันพบเหยื่อ ซึ่งเราทราบตามบันทึกประจำวันชื่อนายสุดเขตต์ นวธารากู ขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า รุ่นสปาร์คอยู่ พวกมันไม่พูดพล่ามทำเพลง ตรงเข้าไปฟาดหัวเหยื่อ พร้อมกับชักมีดออกมาจ้วงแทงเข้ากลางหลังเหยื่อ แล้วพากันปล้นเอารถจักรยานยนต์ของเหยื่อหลบหนีไป"
สารวัตรพิพัฒน์ ผู้เฝ้าติดตามพฤติกรรมสวะสังคมแก๊งนี้มานานจนสามารถจับกุมได้เกือบยกแก๊ง บอกกับเราต่อว่า "หลังจากที่พวกมัน ลงมือกับเหยื่อรายแรกไปแล้ว ก็พากันกบดานเงียบ จนกระทั่งผ่านไปจนถึงตีสี่ เจ้าต้นก็ออกไปก่อเหตุอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันไปเพียงคนเดียว ขี่รถจักรยานยนต์ไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณสนามหญ้า หน้ากกท.(การกีฬาแห่งประเทศไทย) มันก็พบเหยื่อ คือน.ส.ภัทรพร บุญมี จึงเข้าไปชิงเอาโทรศัพท์มือถือไปดื้อๆ โดยที่เยื่อไม่มีโอกาศป้องกันตัว ถัดจากนั้นมาเพียงอีก 1 ชั่วโมง เจ้าต้นขี่รถจักรยายนต์ไปหน้าร้านเกมส์โฟนวัน ในซอยรามคำแหง 24 ไปตบโทรศัพท์มือถือของนายณัฐพงษ์ แซ่เฮง ซึ่งถือเป็นเหยื่อรายที่ 3 ในรอบวัน"
"พวกมันย่ามใจมาก ก่อเหตุปล้นและจี้ชิงทรัพย์เหยื่อมาถึง 3 รายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะหยุด แต่พอตกเย็น เจ้าต้นกลับพาเจ้าณัฐกับเจ้าภพ ลงมือปล้นเหยื่อที่หน้าร้านสเปดเวิลย์ ซอยรามคำแหง 24 เป็นครั้งที่ 4 ในรอบวัน แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างพวกมัน ทีมของผม ไปพบเหตุพอดี จึงเข้าจับกุมเจ้าต้นไว้ได้ จนนำไปสู่การจับกุมเกือบยกแก๊ง ปิดฉากสวะสังคมไปได้อีกครั้ง"พ.ต.ท.พิพัฒน์บอก
"ผมถามมันว่า ทำไมถึงกล้าก่อเหตุในวันเดียวถึง 4 ครั้ง คุณรู้ไหม มันตอบว่าไง มันบอกว่า ก่อนเกิดเหตุ พวกมันจะไปหาซื้อยา"โซแลม" มาผสมกับน้ำอัดลมครั้งละ 5-6 เม็ด จะทำให้รู้สึกมึนเมา เพิ่มความกล้า ความฮึกเหิม พอได้ที่ก็พากันซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ไม่ต่ำกว่า 10 คัน ขี่ตระเวณหาเหยื่อไปเรื่อยๆ เมื่อพบเป้าหมายก็จะพากันเข้าไปชิงทรัพย์ หรือปล้น ซึ่งในกลุ่มที่ร่วมจี้ปล้น จะมีเพียง 4-5 คนเท่านั้น และเมื่อได้ทรัพย์สินเงินทองมา ก็จะพากันไปซื้อเหล้าตั้งวงกิน เข้าร้านเกมส์ และหาซื้อยา"โซแลม"มากินอีก เป็นพฤติกรรมหมุนเวียน"
สารวัตรพิพัฒน์บอกว่า หลังจากจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด ยกเว้นเพียงนายตั้ม ก็ได้ทำรายงานบันทึกการจับกุมและพฤติกรรมให้พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน ผกก.สน.หัวหมาก และพล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ ผบก.น.4 ทราบเรื่อง
ต่อมาพล.ต.ต.วิมล นำตัวผู้ต้องหาออกมาแถลงผลการจับกุม โดยระบุว่า "กลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมวิ่งราวทรัพย์ โดยทำทีเป็นขี่รถ จยย.ออกตระเวนไปเรื่อยๆ เพื่อหาเหยื่อ เมื่อเจอเป้าหมายและสบโอกาสเหมาะก็จะทำการวิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ บางครั้งมีการข่มขู่ผู้เสียหาย แต่ถ้าหากผู้เสียหายขัดขืนหรือสู้ก็จะทำร้ายร่างกายด้วยกำลัง หรือใช้อาวุธ ก่อนเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายหลบหนีไป หลังจากนั้น ก็จะนำทรัพย์สินที่ได้ไปขายแล้วนำเงินมาแบ่งกัน ซึ่งก่อนที่จะลงมือก่อเหตุทุกครั้ง กลุ่มผู้ต้องหาซื้อสารเสพติดาประเภทยาโซแลม มาผสมกับน้ำอัดลมดื่มเพื่อให้เกิดความกล้า"
"เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อการกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป เพื่อให้พ้นจากการถูกจับกุม ส่วนนายตั้ม ผู้ต้องหาคนสุดท้าย ที่อยู่ระหว่างการหลบหนี ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวน ลงพื้นที่หาข่าวเพื่อใช้เป็นเบาะแสในการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้ต่อไป เพราะถือเป็นภัยต่อสุจริตชน"พล.ต.ต.วิมลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวอาชญากรรม เกิดข้อสงสัยว่า เจ้ายา"โซแลม" ที่กลุ่มคนร้ายใช้ดื่มกินผสมกับน้ำอัดลม เพื่อให้เกิดความกล้า ตามคำกล่าวอ้างนั้น เป็นยาอะไร และมีผลตามที่กลุ่มคนร้ายสารภาพออกมาหรือไม่ ซึ่งเราไม่ยอมเก็บความสงสัยไว้ในใจ ได้สอบถามไปยังพล.ต.ท.นพ.สมยศ ดีมาก นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ ก็ได้รับความกระจ่างในเรื่องนี้
"หมอสมยศ" แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจบอกว่า ยาโซแลม หรือ ชื่อสามัญว่า อัลปราโซแลม (Alprazolam) เป็นยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับรักษาอาการทางจิตเวช เช่น อาการเครียด วิตกกังวล จิตใจไม่ดี กระสับกระส่าย หรือผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับในรายที่เซ็นซิทิฟมากๆ ซึ่งเมื่อรับประทานยาชนิดนี้เข้าไปจะทำให้มีอาการสลึมสลือ ทำให้กล้าทำโน่นทำนี่ ไม่มีความกลัว
"ยาชนิดนี้ จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 จึงไม่มีจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไป เป็นยาที่ใช้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งต้องเป็นการสั่งให้กับผู้ป่วยโดยแพทย์ โดยผู้ที่ใช้ยานี้ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะหากใช้ยานี้ต่อกันนานๆ จะทำให้เสพติดได้ ขณะเดียวกันยังมีผลข้างเคียง ได้แก่ ง่วงซึม มึนงง ปากแห้ง อ่อนเพลีย หรือหากใช้ยานี้ไปนานๆ แล้วหยุดยาเอง จะทำให้เกิดอาการชักหรืออาการผิดปกติที่เนื่องจากการขาดยากะทันหัน"พล.ต.ท.นพ.สมยศระบุ
คำไขข้อสังสัยของ"หมอสมยศ" ที่ให้ความกระจ่าง ถึงเจ้าตัวยา"โซแลม" ที่ว่า ก็ตรงกับคำรับสารภาพของกลุ่มผู้ต้องหาที่ระบุว่า ทำให้เพิ่มความกล้า ที่จะก่อเหตุในแต่ละครั้ง แต่ประเด็นปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ เมื่อกินยาตัวนี้ไปแล้ว จะทำให้ปราศจากโรคปอดแหก กล้าทำได้ทุกสิ่ง แต่อยู่ที่คำพูดของ"หมอสมยศ"ที่ระบุว่า "เป็นยาที่ใช้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งต้องเป็นการสั่งให้กับผู้ป่วยโดยแพทย์ โดยผู้ที่ใช้ยานี้ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะหากใช้ยานี้ต่อกันนานๆ จะทำให้เสพติดได้"
นี่ จึงเป็น"การบ้าน"ข้อใหญ่ของพ.ต.ท.พิพัฒน์ เต็งถาวร สว.สส.สน.หัวหมาก ที่จะต้องดำเนินการสืบสวน และจับกุม สถานที่จำหน่ายยา"โซแลม"ชนิดนี้ในพื้นที่ให้ได้ ไม่เช่นนั้น "สวะสังคม" อันเป็นตัวบั่นทอนสุจริตชน คงไม่มีวันหมดไปอย่างแน่นอน
พ.ต.ท.พิพัฒน์ เต็งถาวร สว.สส.สน.หัวหมาก บอกถึงที่มาที่ไป ของการพิชิตคดีกลุ่มคนร้ายปล้นทรัพย์ ซึ่งถูกฝ่ายสืบสวนของสน.หัวหมากจับกุมได้เมื่อคืนวันที่ 10 ส.ค. รวม 5 คนประกอบด้วย นายเสกสรร หรือ ต้น ธรรมรักษา อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ 13 ต.คลองหาด อ.คลองหาด จ.สระแก้ว นายณัฐ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นายภพ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นายแบงก์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี และ นายแชมป์ (นามสมมติ) อายุ 16 ปี พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง และ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า สปาร์ค 135 สีน้ำเงิน-ดำ หมายเลขทะเบียน ขตม 821 สุราษฎร์ธานี
"ระหว่างที่ทีมของผมเฝ้าจับตาพฤติกรรมกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้อยู่ ให้บังเอิญว่าช่วงเวลา 18.30 น.ของวันที่ 9 ส.ค. ทีมของผมไปพบนายเสกสรร หรือ ต้น ธรรมรักษา กับพวกอีก 2 คน กำลังลงมือปล้นเหยื่ออยู่บริเวณหน้าร้านสเปดเวิลย์ ซอยรามคำแหง 24 จึงเข้าจับกุมทันที แต่จับได้เพียง นายเสกสรรคนเดียว ส่วนที่เหลืออีก 2 หลบหนีไปได้"พ.ต.ท.พิพัฒน์บอก
ตามแนวทางการสืบสวน แม้จะได้ผู้ต้องมาเพียงคนเดียว ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสามารถที่จะนำไปขยายผลถึงเพื่อนร่วมแก๊งได้ทั้งหมดว่ามีใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหนบ้าง !!
"ผมง้างปากเจ้าต้น คนร้ายที่จับได้คาหนังคาเขา จึงทราบว่า อีก 2 คนที่หลบหนีไปได้คือ นายณัฐ (นามสมมติ) กับ นายภพ (นามสมมติ) อายุ 17 ปีเท่ากัน จากนั้น จึงส่งทีมไปรวบตัวไว้ได้ทั้ง 2 คน"
"หลังจากที่พวกเราเค้นสอบเจ้าต้น กับเพื่อนมันอีก 2 คนที่จับมาได้ภายหลัง ทำให้ถึงกับอึ้ง โดยเจ้าต้นรับสารภาพว่า ที่ถูกตำรวจจับได้คาหนังคาเขาขณะลงมือปล้นเหยื่อนั้น เป็นการลงมือปล้นครั้งที่ 4 ในรอบวัน โดยตลอดทั้งคืนวันที่ 9 ต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 10 ส.ค. เจ้าต้นกับพวกก่อเหตุปฏิบัตติการมาแล้วถึง 3 ครั้ง และมาถูกจับขณะลงมือในครั้งที่ 4"
สารวัตรสืบโรงพักหัวหมาก บอกกับเราต่อว่า นอกเหนือจากนายณัฐ กับนายภพ ที่ถูกตามจับกุมได้ภายหลังแล้ว ยังมีเพื่อนร่วมแก๊งอีก 3 คน มีนายแบงก์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นายแชมป์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี และนายตั้ม (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ซึ่งต่อมาฝ่ายสืบสวนของเรา ก็ตามไปจับกุมนายแบงก์กับนายแชมป์ได้ แต่นายตั้มนั้น พลาดไปนิดเดียว จึงหลบหนีไปได้
"พวกเราเค้นสอบเจ้าต้นกับพวกอีกครั้ง ถึงรายละเอียดของการปฏิบัติการลงมือจี้ปล้นในคืนเดียว 4 รายซ้อน จนมันยอมเปิดปากบอกจนหมดเปลือก ประกอบกับเรานำบันทึกประจำวันของฝ่ายสอบสวนมาดู จึงทราบถึงการลงมือจี้ปล้นของพวกมัน ซึ่งสอดคล้องกับการให้การของเจ้าต้น ว่า ราวเที่ยงคืน 10 นาที เจ้าต้น เจ้าแบงก์ เจ้าแชมป์ และเจ้าตั้ม ที่หลบหนีไปได้ ขี่รถจักรยานยนต์ตระเวณออกหาเหยื่อ จนไปถึงบริเวณหน้าบ้านเลขที่ 61 ในซอยรามคำแหง 52 มันพบเหยื่อ ซึ่งเราทราบตามบันทึกประจำวันชื่อนายสุดเขตต์ นวธารากู ขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า รุ่นสปาร์คอยู่ พวกมันไม่พูดพล่ามทำเพลง ตรงเข้าไปฟาดหัวเหยื่อ พร้อมกับชักมีดออกมาจ้วงแทงเข้ากลางหลังเหยื่อ แล้วพากันปล้นเอารถจักรยานยนต์ของเหยื่อหลบหนีไป"
สารวัตรพิพัฒน์ ผู้เฝ้าติดตามพฤติกรรมสวะสังคมแก๊งนี้มานานจนสามารถจับกุมได้เกือบยกแก๊ง บอกกับเราต่อว่า "หลังจากที่พวกมัน ลงมือกับเหยื่อรายแรกไปแล้ว ก็พากันกบดานเงียบ จนกระทั่งผ่านไปจนถึงตีสี่ เจ้าต้นก็ออกไปก่อเหตุอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันไปเพียงคนเดียว ขี่รถจักรยานยนต์ไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณสนามหญ้า หน้ากกท.(การกีฬาแห่งประเทศไทย) มันก็พบเหยื่อ คือน.ส.ภัทรพร บุญมี จึงเข้าไปชิงเอาโทรศัพท์มือถือไปดื้อๆ โดยที่เยื่อไม่มีโอกาศป้องกันตัว ถัดจากนั้นมาเพียงอีก 1 ชั่วโมง เจ้าต้นขี่รถจักรยายนต์ไปหน้าร้านเกมส์โฟนวัน ในซอยรามคำแหง 24 ไปตบโทรศัพท์มือถือของนายณัฐพงษ์ แซ่เฮง ซึ่งถือเป็นเหยื่อรายที่ 3 ในรอบวัน"
"พวกมันย่ามใจมาก ก่อเหตุปล้นและจี้ชิงทรัพย์เหยื่อมาถึง 3 รายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะหยุด แต่พอตกเย็น เจ้าต้นกลับพาเจ้าณัฐกับเจ้าภพ ลงมือปล้นเหยื่อที่หน้าร้านสเปดเวิลย์ ซอยรามคำแหง 24 เป็นครั้งที่ 4 ในรอบวัน แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างพวกมัน ทีมของผม ไปพบเหตุพอดี จึงเข้าจับกุมเจ้าต้นไว้ได้ จนนำไปสู่การจับกุมเกือบยกแก๊ง ปิดฉากสวะสังคมไปได้อีกครั้ง"พ.ต.ท.พิพัฒน์บอก
"ผมถามมันว่า ทำไมถึงกล้าก่อเหตุในวันเดียวถึง 4 ครั้ง คุณรู้ไหม มันตอบว่าไง มันบอกว่า ก่อนเกิดเหตุ พวกมันจะไปหาซื้อยา"โซแลม" มาผสมกับน้ำอัดลมครั้งละ 5-6 เม็ด จะทำให้รู้สึกมึนเมา เพิ่มความกล้า ความฮึกเหิม พอได้ที่ก็พากันซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ไม่ต่ำกว่า 10 คัน ขี่ตระเวณหาเหยื่อไปเรื่อยๆ เมื่อพบเป้าหมายก็จะพากันเข้าไปชิงทรัพย์ หรือปล้น ซึ่งในกลุ่มที่ร่วมจี้ปล้น จะมีเพียง 4-5 คนเท่านั้น และเมื่อได้ทรัพย์สินเงินทองมา ก็จะพากันไปซื้อเหล้าตั้งวงกิน เข้าร้านเกมส์ และหาซื้อยา"โซแลม"มากินอีก เป็นพฤติกรรมหมุนเวียน"
สารวัตรพิพัฒน์บอกว่า หลังจากจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด ยกเว้นเพียงนายตั้ม ก็ได้ทำรายงานบันทึกการจับกุมและพฤติกรรมให้พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน ผกก.สน.หัวหมาก และพล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ ผบก.น.4 ทราบเรื่อง
ต่อมาพล.ต.ต.วิมล นำตัวผู้ต้องหาออกมาแถลงผลการจับกุม โดยระบุว่า "กลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมวิ่งราวทรัพย์ โดยทำทีเป็นขี่รถ จยย.ออกตระเวนไปเรื่อยๆ เพื่อหาเหยื่อ เมื่อเจอเป้าหมายและสบโอกาสเหมาะก็จะทำการวิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ บางครั้งมีการข่มขู่ผู้เสียหาย แต่ถ้าหากผู้เสียหายขัดขืนหรือสู้ก็จะทำร้ายร่างกายด้วยกำลัง หรือใช้อาวุธ ก่อนเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายหลบหนีไป หลังจากนั้น ก็จะนำทรัพย์สินที่ได้ไปขายแล้วนำเงินมาแบ่งกัน ซึ่งก่อนที่จะลงมือก่อเหตุทุกครั้ง กลุ่มผู้ต้องหาซื้อสารเสพติดาประเภทยาโซแลม มาผสมกับน้ำอัดลมดื่มเพื่อให้เกิดความกล้า"
"เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อการกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป เพื่อให้พ้นจากการถูกจับกุม ส่วนนายตั้ม ผู้ต้องหาคนสุดท้าย ที่อยู่ระหว่างการหลบหนี ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวน ลงพื้นที่หาข่าวเพื่อใช้เป็นเบาะแสในการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้ต่อไป เพราะถือเป็นภัยต่อสุจริตชน"พล.ต.ต.วิมลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวอาชญากรรม เกิดข้อสงสัยว่า เจ้ายา"โซแลม" ที่กลุ่มคนร้ายใช้ดื่มกินผสมกับน้ำอัดลม เพื่อให้เกิดความกล้า ตามคำกล่าวอ้างนั้น เป็นยาอะไร และมีผลตามที่กลุ่มคนร้ายสารภาพออกมาหรือไม่ ซึ่งเราไม่ยอมเก็บความสงสัยไว้ในใจ ได้สอบถามไปยังพล.ต.ท.นพ.สมยศ ดีมาก นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ ก็ได้รับความกระจ่างในเรื่องนี้
"หมอสมยศ" แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจบอกว่า ยาโซแลม หรือ ชื่อสามัญว่า อัลปราโซแลม (Alprazolam) เป็นยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับรักษาอาการทางจิตเวช เช่น อาการเครียด วิตกกังวล จิตใจไม่ดี กระสับกระส่าย หรือผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับในรายที่เซ็นซิทิฟมากๆ ซึ่งเมื่อรับประทานยาชนิดนี้เข้าไปจะทำให้มีอาการสลึมสลือ ทำให้กล้าทำโน่นทำนี่ ไม่มีความกลัว
"ยาชนิดนี้ จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 จึงไม่มีจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไป เป็นยาที่ใช้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งต้องเป็นการสั่งให้กับผู้ป่วยโดยแพทย์ โดยผู้ที่ใช้ยานี้ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะหากใช้ยานี้ต่อกันนานๆ จะทำให้เสพติดได้ ขณะเดียวกันยังมีผลข้างเคียง ได้แก่ ง่วงซึม มึนงง ปากแห้ง อ่อนเพลีย หรือหากใช้ยานี้ไปนานๆ แล้วหยุดยาเอง จะทำให้เกิดอาการชักหรืออาการผิดปกติที่เนื่องจากการขาดยากะทันหัน"พล.ต.ท.นพ.สมยศระบุ
คำไขข้อสังสัยของ"หมอสมยศ" ที่ให้ความกระจ่าง ถึงเจ้าตัวยา"โซแลม" ที่ว่า ก็ตรงกับคำรับสารภาพของกลุ่มผู้ต้องหาที่ระบุว่า ทำให้เพิ่มความกล้า ที่จะก่อเหตุในแต่ละครั้ง แต่ประเด็นปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ เมื่อกินยาตัวนี้ไปแล้ว จะทำให้ปราศจากโรคปอดแหก กล้าทำได้ทุกสิ่ง แต่อยู่ที่คำพูดของ"หมอสมยศ"ที่ระบุว่า "เป็นยาที่ใช้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งต้องเป็นการสั่งให้กับผู้ป่วยโดยแพทย์ โดยผู้ที่ใช้ยานี้ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะหากใช้ยานี้ต่อกันนานๆ จะทำให้เสพติดได้"
นี่ จึงเป็น"การบ้าน"ข้อใหญ่ของพ.ต.ท.พิพัฒน์ เต็งถาวร สว.สส.สน.หัวหมาก ที่จะต้องดำเนินการสืบสวน และจับกุม สถานที่จำหน่ายยา"โซแลม"ชนิดนี้ในพื้นที่ให้ได้ ไม่เช่นนั้น "สวะสังคม" อันเป็นตัวบั่นทอนสุจริตชน คงไม่มีวันหมดไปอย่างแน่นอน