โฆษกกองทัพบก ยืนยัน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ สั่งปลด “จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา” ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” แล้ว เหตุขาดราชการเกิน 3 วัน ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และหนีหมายจับ ย้ำ กองทัพพร้อมร่วมมือเต็มที่ในการติดตามตัว
วันนี้ (28 ก.ค.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหา ที่เป็นทหาร ในคดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพิ่มเติมว่า เท่าที่ตรวจสอบขณะนี้ ตำรวจยังไม่ทำหนังสือขอตัวทหารคนใดเพิ่มเติม เพราะปกติการจะทำหนังสือขอตัวกำลังพลจากกองทัพ ต้องมีการออกหมายจับก่อน ซึ่งขณะนี้มีเพียงการขอตัว จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา นายทหารสังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ คนเดียวเท่านั้น
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า กรณี จ.ส.อ.ปัญญา ที่ยังคงหลบหนีการจับกุมของตำรวจ กองทัพพร้อมร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อนำตัว จ.ส.อ.ปัญญา มาดำเนินคดี และให้ความร่วมมือ หากตำรวจจะไปตรวจค้นในหน่วยทหารใด ทั้งนี้ กองทัพบกไม่ได้ให้สถานที่พักพิง หรือช่วยเหลือ จ.ส.อ.ปัญญา แต่อย่างใด รวมทั้งยังมีการสั่งการว่า หากกำลังพลคนใดพบเห็น จ.ส.อ.ปัญญา พักพิงอยู่ที่ใด ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาทันที และหากใครให้สถานที่พักพิง จ.ส.อ.ปัญญาถือว่ามีความผิด อย่างไรก็ตาม กองทัพคงไม่ถึงกับนำกำลังพลลงไปช่วยตำรวจในการตรวจค้นหาตัว จ.ส.อ.ปัญญา เพราะหน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่ของตำรวจ
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ จ.ส.อ.ปัญญา ได้เซ็นคำสั่งปลด จ.ส.อ.ปัญญา เรียบร้อยแล้ว เพราะ จ.ส.อ.ปัญญา เป็นนายทหารชั้นประทวน จึงไม่ต้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้เซ็นปลด ซึ่งสาเหตุที่มีคำสั่งปลด จ.ส.อ.ปัญญา เนื่องจากเข้าข่ายผิดกฎหมายทหาร 2 ข้อ คือ 1.จ.ส.อ.ปัญญา ถูกส่งไปช่วยราชการที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 4 ซึ่งตามกฎหมายทหารห้ามไม่ให้กำลังพลที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ลาราชการเกิน 3 วัน และ 2.กำลังพลที่หนีหมายจับ สามารถสั่งปลดได้ ซึ่งถือว่า จ.ส.อ.ปัญญา เข้าข่ายทั้ง 2 กรณี
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีที่มีทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีลอบยิงนายสนธินั้น กองทัพบกขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ทหารส่วนใหญ่มีหน้าที่ปฏิบัติภารกิจหลัก คือ การสนองตอบ และช่วยเหลือประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา กองทัพแสดงให้สังคมเกิดความมั่นใจว่ากองทัพจะไม่ปกป้องนายทหารนอกแถวเป็นอันขาด