หดหู่! สาวช่างเสริมสวยท้อง 8 เดือน ปวดท้องคล้ายจะคลอดก่อนกำหนด เดินทางไปพบแพทย์ รพ.วชิระที่ฝากท้องไว้ แพทย์ตรวจครรภ์เจอลูกตายในท้องแล้ว ขณะนอนรอผ่าตัดเพื่อนำเด็กออกสาวท้องแรกก็สิ้นลมแล้ว แพทย์วชิระระบุ เสียชีวิตเนื่องจากครรภ์เป็นพิษ จะชันสูตรศพอีกครั้ง ชี้เกิดขึ้นเพียง 1 ในล้าน แต่บิดาผู้ตายไม่ไว้ใจจึงนำศพให้ รพ.รามาธิบดีผ่าพิสูจน์
วันนี้ (18 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่สถาบันนิติเวช รพ.รามาธิบดี นายขันติพงษ์ บุตรพงษ์ อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง พร้อมด้วย นางทองสุข บุตรพงษ์ อายุ 43 ปี อาชีพขายผลไม้ อยู่บ้านเลขที่ 1563 ตรอกมินมณี ถ.เพชรเกษม 4 แขวงวัดสังข์กระจาย เขตบางกอกใหญ่ กทม. พร้อมด้วย นายเด่นชัย เพิ่มบุญ อายุ 28 ปี ได้เดินทางมาที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อรอผลชันสูตรพลิกศพ ของ น.ส.วิไลพร บุตรพงษ์ อายุ 27 ปี หรือน้องหญิง และน้องโฟกัส ภายหลังจากที่ น.ส.วิไลพร เดินทางไปคลอดบุตรที่ รพ.วชิระ และเสียชีวิตพร้อมลูกในครรภ์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ทางแพทย์ที่ รพ.รามาธิบดี ก็ยังไม่สามารถที่จะทำการผ่าศพได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างรอประวัติของผู้เสียชีวิตจาก รพ.วชิระ
โดยนายขันติพงษ์ บิดาผู้ตายเปิดเผยว่า ตนเองมีลูก 5 คน ผู้ตายเป็นลูกคนโต เป็นช่างเสริมสวย และได้แต่งงานกับนายเด่นชัย เพิ่มบุญ เมื่อปีที่แล้ว จนกระทั่งตั้งท้องและฝากครรภ์ไว้ที่รพ.วชิระ เนื่องจากสามีของลูกสาวตนเองทำงานเป็นหน่วยกู้ชีพอยู่ที่นั่น หลังจากที่ตั้งครรรภ์ ได้ 8 เดือน เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) เวลาประมาณ 02.00 ขณะนอนอยู่ที่บ้าน ลูกสาวเกิดปวดท้องคิดว่าคงจะคลอดก่อนกำหนดจึงได้พามาที่ รพ.วชิระ
จากนั้นเมื่อถึง รพ.วชิระ แพทย์ได้พาเข้าไปที่ห้องคลอด โดยให้ตนเองรออยู่ที่บริเวณด้านนอก จนกระทั่งเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง แพทย์ได้เรียกเข้าไปที่ห้องพร้อมทั้งได้ทำการอัลตราซาวนด์ให้ดู พร้อมทั้งบอกว่าเด็กที่อยู่ในท้องไม่หายใจและเสียชีวิตแล้ว ทางแพทย์ยังได้ให้ตนบอกกับลูกสาวว่าเด็กในท้องเสียชีวิต แต่ตนเองไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าลูกสาวจะเสียใจ เนื่องจากเป็นท้องแรก แต่ก็ตัดสินใจบอกกับลูกสาว เพราะกลัวว่าถ้ามารู้ทีหลังจะเสียใจมากกว่านี้ ซึ่งขณะนั้นลูกสาวพอจะทำใจได้บ้าง และบอกกับแพทย์ให้ผ่าเอาเด็กออก
“แพทย์บอกว่าต้องรอ 8 ชั่วโมง เนื่องจากปากมดลูกไม่เปิด แต่ถ้าปากมดลูกเปิดก็จะทำการผ่าตัด ส่วนสาเหตุที่เด็กเสียชีวิตทางแพทย์บอกว่าจะทำการชันสูตรอีกครั้งว่าเด็กในท้องเสียชีวิตเนื่องจากสาเหตุใดกันแน่ จากนั้นทางแพทย์ได้บอกกับผมให้กลับไปรอที่บ้าน จึงได้เดินทางกลับ แต่หลังจากที่กลับบ้านไปได้เพียง 2 ชั่วโมง ทางแพทย์ได้โทรศัพท์กลับมาบอกว่าให้มาดูลูกสาวที่โรงพยาบาลเนื่องจากอาการไม่ค่อยดี ผมและแฟนลูกสาวจึงได้รีบเดินทางมา โดยถึงโรงพยาบาลเวลา 05.00 น.ของวันที่ 17 มิ.ย. ก็เห็นทางแพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจลูกสาว เมื่อเข้าไปเขย่าตัวลูกและเรียกชื่อลูกก็ไม่มีเสียงตอบ จนกระทั่งทราบว่าลูกสาวได้เสียชีวิตแล้ว” นายขันติพงษ์ กล่าว
นายขันติพงษ์กล่าวอีกว่า ตนได้สอบถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาว ซึ่งแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดได้ พูดแค่เพียงว่ากรณีนี้เกิดขึ้นเพียง 1 ในล้านคนเท่านั้น โดยในใบรับรองการเสียชีวิตของ รพ.วชิระ ระบุว่าลูกสาวเสียชีวิตเนื่องจากครรภ์เป็นพิษ และทางแพทย์จะทำการชันสูตรศพอีกครั้ง แต่ตนเองไม่ไว้ใจแล้วจึงได้ส่งศพของลูกสาวมาที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการตายของเด็กในท้องและลูกสาว เพื่อที่จะได้รู้ถึงสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาวตนเอง เนื่องจากทางแพทย์ รพ.รามาธิบดี ยังไม่ได้ทำการผ่าศพ เพราะต้องรอประวัติของ น.ส.วิไลพร และสาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นของทั้งสอง จาก รพ.วชิระก่อน สำหรับศพของลูกสาวของตนเอง เมื่อทราบผลแล้วจะนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดสังข์กระจายน์วรวิหาร ซอยเพชรเกษม 4 ส่วนเรื่องการฟ้องร้องคงจะต้องทำการพูดคุยกับทางญาติกันอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้ (18 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่สถาบันนิติเวช รพ.รามาธิบดี นายขันติพงษ์ บุตรพงษ์ อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง พร้อมด้วย นางทองสุข บุตรพงษ์ อายุ 43 ปี อาชีพขายผลไม้ อยู่บ้านเลขที่ 1563 ตรอกมินมณี ถ.เพชรเกษม 4 แขวงวัดสังข์กระจาย เขตบางกอกใหญ่ กทม. พร้อมด้วย นายเด่นชัย เพิ่มบุญ อายุ 28 ปี ได้เดินทางมาที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อรอผลชันสูตรพลิกศพ ของ น.ส.วิไลพร บุตรพงษ์ อายุ 27 ปี หรือน้องหญิง และน้องโฟกัส ภายหลังจากที่ น.ส.วิไลพร เดินทางไปคลอดบุตรที่ รพ.วชิระ และเสียชีวิตพร้อมลูกในครรภ์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ทางแพทย์ที่ รพ.รามาธิบดี ก็ยังไม่สามารถที่จะทำการผ่าศพได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างรอประวัติของผู้เสียชีวิตจาก รพ.วชิระ
โดยนายขันติพงษ์ บิดาผู้ตายเปิดเผยว่า ตนเองมีลูก 5 คน ผู้ตายเป็นลูกคนโต เป็นช่างเสริมสวย และได้แต่งงานกับนายเด่นชัย เพิ่มบุญ เมื่อปีที่แล้ว จนกระทั่งตั้งท้องและฝากครรภ์ไว้ที่รพ.วชิระ เนื่องจากสามีของลูกสาวตนเองทำงานเป็นหน่วยกู้ชีพอยู่ที่นั่น หลังจากที่ตั้งครรรภ์ ได้ 8 เดือน เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) เวลาประมาณ 02.00 ขณะนอนอยู่ที่บ้าน ลูกสาวเกิดปวดท้องคิดว่าคงจะคลอดก่อนกำหนดจึงได้พามาที่ รพ.วชิระ
จากนั้นเมื่อถึง รพ.วชิระ แพทย์ได้พาเข้าไปที่ห้องคลอด โดยให้ตนเองรออยู่ที่บริเวณด้านนอก จนกระทั่งเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง แพทย์ได้เรียกเข้าไปที่ห้องพร้อมทั้งได้ทำการอัลตราซาวนด์ให้ดู พร้อมทั้งบอกว่าเด็กที่อยู่ในท้องไม่หายใจและเสียชีวิตแล้ว ทางแพทย์ยังได้ให้ตนบอกกับลูกสาวว่าเด็กในท้องเสียชีวิต แต่ตนเองไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าลูกสาวจะเสียใจ เนื่องจากเป็นท้องแรก แต่ก็ตัดสินใจบอกกับลูกสาว เพราะกลัวว่าถ้ามารู้ทีหลังจะเสียใจมากกว่านี้ ซึ่งขณะนั้นลูกสาวพอจะทำใจได้บ้าง และบอกกับแพทย์ให้ผ่าเอาเด็กออก
“แพทย์บอกว่าต้องรอ 8 ชั่วโมง เนื่องจากปากมดลูกไม่เปิด แต่ถ้าปากมดลูกเปิดก็จะทำการผ่าตัด ส่วนสาเหตุที่เด็กเสียชีวิตทางแพทย์บอกว่าจะทำการชันสูตรอีกครั้งว่าเด็กในท้องเสียชีวิตเนื่องจากสาเหตุใดกันแน่ จากนั้นทางแพทย์ได้บอกกับผมให้กลับไปรอที่บ้าน จึงได้เดินทางกลับ แต่หลังจากที่กลับบ้านไปได้เพียง 2 ชั่วโมง ทางแพทย์ได้โทรศัพท์กลับมาบอกว่าให้มาดูลูกสาวที่โรงพยาบาลเนื่องจากอาการไม่ค่อยดี ผมและแฟนลูกสาวจึงได้รีบเดินทางมา โดยถึงโรงพยาบาลเวลา 05.00 น.ของวันที่ 17 มิ.ย. ก็เห็นทางแพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจลูกสาว เมื่อเข้าไปเขย่าตัวลูกและเรียกชื่อลูกก็ไม่มีเสียงตอบ จนกระทั่งทราบว่าลูกสาวได้เสียชีวิตแล้ว” นายขันติพงษ์ กล่าว
นายขันติพงษ์กล่าวอีกว่า ตนได้สอบถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาว ซึ่งแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดได้ พูดแค่เพียงว่ากรณีนี้เกิดขึ้นเพียง 1 ในล้านคนเท่านั้น โดยในใบรับรองการเสียชีวิตของ รพ.วชิระ ระบุว่าลูกสาวเสียชีวิตเนื่องจากครรภ์เป็นพิษ และทางแพทย์จะทำการชันสูตรศพอีกครั้ง แต่ตนเองไม่ไว้ใจแล้วจึงได้ส่งศพของลูกสาวมาที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการตายของเด็กในท้องและลูกสาว เพื่อที่จะได้รู้ถึงสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาวตนเอง เนื่องจากทางแพทย์ รพ.รามาธิบดี ยังไม่ได้ทำการผ่าศพ เพราะต้องรอประวัติของ น.ส.วิไลพร และสาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นของทั้งสอง จาก รพ.วชิระก่อน สำหรับศพของลูกสาวของตนเอง เมื่อทราบผลแล้วจะนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดสังข์กระจายน์วรวิหาร ซอยเพชรเกษม 4 ส่วนเรื่องการฟ้องร้องคงจะต้องทำการพูดคุยกับทางญาติกันอีกครั้งหนึ่ง
