xs
xsm
sm
md
lg

แจ้งจับ “อิงลิช พลัส” สถาบันสอนภาษาหลอกขายแฟรนไชส์!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ผู้เสียหาย เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนบก.ป.
ผู้ประกอบการที่ซื้อแฟรนไชส์จากสถาบันสอนภาษา อิงลิช พลัส (e+) รวม 8 ราย เข้าแจ้งความตำรวจกองปราบ ให้ดำเนินคดีกับเจ้าของสถาบัน ในข้อหาฉ้อโกง หลังจากพากันลงทุนเปิดสาขาคนละกว่า 1 ล้านบาท ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะต้นสังกัดส่งครูไม่มีคุณภาพมาสอน ทำให้เด็ก และผู้ปกครองผละหนีกันหมด ซ้ำยังแอบอ้างว่า ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาฯด้วย

วันนี้ (11 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.30 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) กลุ่มผู้เสียหายจากการซื้อแฟรนไชส์ สถาบันสอนภาษาอิงลิชพลัส English plus (e+) ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 8 ราย เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.มาโนช สวนดอกไม้ พงส.สบ.2 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของสถาบันสอนภาษาดังกล่าวและผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ภายหลังจากที่ได้เสียเงินรายละกว่า 1 ล้านบาท เพื่อซื้อแฟรนไชส์ของสถาบันสอนภาษาชื่อดังมาลงทุนเปิดโรงเรียนสาขา แต่ปรากฏว่า ทางสถาบันกลับจัดหาครูที่ไม่มีคุณภาพมาสอน จนทำให้ผู้ประกอบกิจการเจ๊ง เนื่องจากผู้ปกครองของนักเรียนไม่ให้ความเชื่อถือ อีกทั้งสถาบันสอนภาษาดังกล่าวยังมีการโฆษณาแอบอ้างว่าได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ

นายวรพงษ์ อินทรกำธรชัย อายุ 40 ปี หนึ่งในผู้เสียหายให้การว่า เมื่อช่วงเดือน พ.ค.2548 ได้ดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง เกี่ยวกับการลงทุนทำกิจการแบบเอสเอ็มอี โดยมีการสัมภาษณ์กรรมการผู้จัดการของโรงเรียนสอนภาษาดังกล่าว จนทำให้เกิดความเชื่อถือและอยากลงทุนซื้อแฟรนไชส์มาดำเนินกิจการเอง จึงได้ตัดสินใจไปติดต่อที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนงามวงศ์วาน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เพื่อขอซื้อแฟรนไชส์มาลงทุน

“ในวันนั้นได้มีการติดต่อกับกรรมการผู้จัดการโรงเรียนสอนภาษาแห่งนี้ที่เคยไปออกรายการทีวี โดยมีการอวดอ้างสรรพคุณ ว่า มีการคิดค้นหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นมาเอง และทางโรงเรียนได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นสถาบันอบรมและสอนภาษาอังกฤษ มีครูชาวต่างชาติเจ้าของภาษาที่ได้มาตรฐานตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ และสถาบันแห่งนี้ ยังได้เข้าร่วมในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนและฝึกอบรมภาษาอังกฤษให้กับโรงเรียน มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยหลายแห่ง” นายวรพงษ์ ให้การ

นายวรพงษ์ กล่าวต่อว่า ทางสถาบันสอนภาษาดังกล่าว ยังบอกอีกว่า สำหรับนักเรียนที่จบการศึกษากับสถาบันแห่งนี้ จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองจากทางกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย ทำให้ตนหลงเชื่อตัดสินใจซื้อแฟรนส์ไชส์ดังกล่าวมาในราคาประมาณ 3 แสนบาทเศษ ก่อนจะไปหาสถานที่ย่านเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เพื่อเปิดโรงเรียนสาขาอีกเป็นเงินประมาณ 5-6 แสนบาท ซึ่งภายหลังจากเปิดกิจการไปได้ซักพัก ก็ประสบปัญหา เนื่องจากครูผู้สอนที่ทางสถาบันสอนภาษาดังกล่าวเป็นผู้จัดมาให้ เริ่มมาสอนไม่เป็นเวลา บางครั้งก็ยกเลิกการมาสอนโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า รวมถึงมีการเปลี่ยนครูผู้สอนบ่อย ทำให้เด็กนักเรียนเรียนได้ไม่ต่อเนื่อง ทำให้ทางโรงเรียนถูกผู้ปกครองของนักเรียนตำหนิ และต่างพาลูกๆ ไปเรียนที่โรงเรียนอื่น จนโรงเรียนที่ตนลงทุนเปิดมาได้แค่ 3-4 เดือนขาดทุนจนไม่สามารถเปิดต่อไปได้

ด้าน นางบุษรินทร์ เกษมชัยนันท์ อายุ 33 ปี ผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า ได้ซื้อแฟรนไชส์ของสถาบันแห่งนี้มาลงทุน เพื่อเปิดสาขาแถวอ้อมใหญ่ แรกๆ กิจการก็ไปได้ดี แต่ภายหลังก็ประสบปัญหาเดียวกัน คือ ทางโรงเรียนส่งครูที่ไม่ได้คุณภาพมาให้ อีกทั้งยังไม่มีความเอาใจใส่ในการสอนเด็กที่มาเรียน บางครั้งครูผู้สอนมีการดื่มเบียร์ก่อนมาสอนเด็ก ส่วนเรื่องการที่ครูมาสอนสาย หรือขาดสอนก็ได้ทำหนังสือแจ้งไปทางสถาบัน ก็มีแค่หนังสือชี้แจงและขอโทษกลับมา แต่ครูผู้สอนก็ไม่ได้มีการปรับปรุงคุณภาพ จนเด็กๆ เริ่มไม่มาเรียน จนทำให้ตนต้องปิดกิจการไปอีกราย ทั้งนี้ เมื่อได้ทำการติดต่อไปยังเจ้าของโรงเรียนสาขาอื่นๆ ที่ซื้อแฟรนไชส์สถาบันดังแห่งนี้ไป ก็พบว่า ประสบปัญหาแบบเดียวกันและทยอยปิดกิจการไปแล้วหลายแห่ง

“เมื่อดิฉันทราบเรื่อง จึงเริ่มตรวจสอบจนพบว่า สถาบันแห่งนี้ลอกหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบันอื่นมาแอบอ้างเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังไม่ได้มีการรับรองจากกระทรวงศึกษาฯตามที่สถาบันกล่าวอ้าง จึงได้นัดหมายกลุ่มผู้เสียหายให้รวมตัวกันมาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของสถาบันสอนภาษาแห่งนี้ เนื่องจากไม่อยากให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อของสถาบันสอนภาษาแห่งนี้มาลงทุนอีก รวมถึงเด็กที่มาเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งนี้ก็จะไม่ได้ประโยชน์จากการเรียนอีกด้วย” นางบุษรินทร์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น