ศาลยุติธรรมเปิดโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ย” ดึง “กบ ปภัสรา” นักแสดง พิธีกรชื่อดัง ขึ้นทอล์กโชว์ ฐานะผู้พิพากษาสมทบ เสนอช่องทางประนอมข้อพิพาทยุติปัญหา ด้าน “โคทม อารียา” ฝากคู่ความอย่ากลัวเสียหน้า เพราะการไกล่เกลี่ยยุติปัญหาได้ ยกผู้กล้าต่างหากที่ใช้หลักสันติวิธี คนขลาดเขลา คือ คนที่ใช้ความรุนแรง
วันนี้ (9 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ถ.รัชดาภิเษก นายปัญญา สุทธิบดี รองประธานศาลฎีกา เป็นประธานเปิดโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ย” โดยสำนักระงับข้อพิพาท เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ศาลยุติธรรมทั่วประเทศจัดสัปดาห์หรือเดือนแห่งการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในช่วงเวลาเดียวกันระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค.2552 จึงเป็นการให้ความสำคัญแก่บุคลากรและหน่วยงานศาลยุติธรรมทั่วประเทศ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีอรรถคดี หรือ ประชาชนทั่วไปได้มีทางเลือกในการยุติข้อพิพาท ด้วยความรวดเร็ว ประหยัด และเป็นธรรม โดยมีข้าราชการตุลาการ นักวิชาการ และประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงาน และฟังการจัดเวทีทอล์กโชว์ของ นางปภัสรา เตชะไพบูลย์ หรือ กบ ปภัสรา นักแสดง และพิธีกร ชื่อดัง ในฐานะเป็น ผู้พิพากษาสมทบ ศาลแรงงานกลาง และ ผู้ประนอมข้อพิพาทให้กับศาลแขวงปทุมวัน
ทั้งนี้ นางปภัสรา กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นงานที่ช่วยสังคมได้มาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ทางกฎหมาย พอมีคดีในศาลจึงเกิดความกลัวไม่กล้ามาศาล และเข้าใจว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างทนายความมาดำเนินการแทน
“ดิฉันอยากฝากถึงประชาชนทั่วไป ว่า การนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อให้ได้ผลแพ้-ชนะกันนั้นไม่ใช่ทางออกสุดท้ายของปัญหา เพราะยังมีวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งประชาชนสามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประจำศาลทั่วประเทศ” นางปภัสรา กล่าว
ต่อมาเวลา 10.30 น.ได้มีการอภิปรายหัวข้อเรื่อง “ทางออก ทางแก้ ปัญหา สังคมไทยกับการไกล่เกลี่ย โดย นายโคทม อารียา ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ม.มหิดล พร้อมด้วยนักวิชาการ และข้าราชการตุลาการ โดย นายโคทม กล่าวว่า ขณะนี้มีปัญหาความขัดแย้งในชาติ 3 ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข คือ 1.เรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยังคงใช้กำลังควบคุมยับยั้ง และปราบปรามกันอยู่ 2.การเมืองเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ที่ยังคงใช้วิธีกดดันรูปแบบต่างๆ อันเป็นลักษณะปลายของแห่งสันติวิธี แต่ก็มีการพูดจากันบ้างแล้ว เพราะทั้งสองฝ่ายก็ต่างอยากให้ประเทศมีความสงบสุข และ 3.ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรต่างๆ ในหลายจังหวัด ที่ยังคงใช้กำลังชาวบ้านกดดันภาครัฐและเอกชน อันนำมาซึ่งความรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต ถึงขนาดว่ามีผู้ทำบันทึกรายชื่อของผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้โดยสันติวิธี ซึ่งมีรายชื่อมากมาย ทั้งหมดที่กล่าวมาคือการหวังที่จะแพ้ชนะกัน
อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนก็มีส่วนที่จะส่งเสริมให้หาทางออกเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว แต่ก็มีสื่อบางช่อง นำคู่กรณีมาพูดคุยกันแล้วก็ทะเลาะกันออกรายการ เพราะต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ พยายามที่จะจับผิดคำพูดของอีกฝ่าย เพื่อเป็นจุดอ่อนในการหักล้างประเด็นให้ได้ชัยชนะเหมือนการโต้วาที ดังนั้น ทางออกที่ดีสำหรับ 3 ปัญหาหากที่จะแก้ไข คือ ทำยังไงให้ทั้งสองฝ่ายไม่คิดว่าเป็นคู่กรณีกัน แต่เป็นคนที่ร่วมกันช่วยกันแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง อย่ากลัวที่จะแก้ไขปัญหาที่มันแก้ไม่ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่กลัวเสียหน้า กลัวเสียดุลอำนาจ
“คนส่วนใหญ่มักคิดว่า การเจรจา คือ วิธีสำหรับคนขี้แพ้ ได้อย่างเสียอย่างแต่กลับลืมนึกว่าไป ผู้กล้าต่างหากที่ใช้หลักสันติวิธี คนขลาดเขลา คือ คนที่ใช้ความรุนแรง” นายโคทม กล่าวตอนท้าย
วันนี้ (9 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ถ.รัชดาภิเษก นายปัญญา สุทธิบดี รองประธานศาลฎีกา เป็นประธานเปิดโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ย” โดยสำนักระงับข้อพิพาท เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ศาลยุติธรรมทั่วประเทศจัดสัปดาห์หรือเดือนแห่งการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในช่วงเวลาเดียวกันระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค.2552 จึงเป็นการให้ความสำคัญแก่บุคลากรและหน่วยงานศาลยุติธรรมทั่วประเทศ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีอรรถคดี หรือ ประชาชนทั่วไปได้มีทางเลือกในการยุติข้อพิพาท ด้วยความรวดเร็ว ประหยัด และเป็นธรรม โดยมีข้าราชการตุลาการ นักวิชาการ และประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงาน และฟังการจัดเวทีทอล์กโชว์ของ นางปภัสรา เตชะไพบูลย์ หรือ กบ ปภัสรา นักแสดง และพิธีกร ชื่อดัง ในฐานะเป็น ผู้พิพากษาสมทบ ศาลแรงงานกลาง และ ผู้ประนอมข้อพิพาทให้กับศาลแขวงปทุมวัน
ทั้งนี้ นางปภัสรา กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นงานที่ช่วยสังคมได้มาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ทางกฎหมาย พอมีคดีในศาลจึงเกิดความกลัวไม่กล้ามาศาล และเข้าใจว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างทนายความมาดำเนินการแทน
“ดิฉันอยากฝากถึงประชาชนทั่วไป ว่า การนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อให้ได้ผลแพ้-ชนะกันนั้นไม่ใช่ทางออกสุดท้ายของปัญหา เพราะยังมีวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งประชาชนสามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประจำศาลทั่วประเทศ” นางปภัสรา กล่าว
ต่อมาเวลา 10.30 น.ได้มีการอภิปรายหัวข้อเรื่อง “ทางออก ทางแก้ ปัญหา สังคมไทยกับการไกล่เกลี่ย โดย นายโคทม อารียา ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ม.มหิดล พร้อมด้วยนักวิชาการ และข้าราชการตุลาการ โดย นายโคทม กล่าวว่า ขณะนี้มีปัญหาความขัดแย้งในชาติ 3 ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข คือ 1.เรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยังคงใช้กำลังควบคุมยับยั้ง และปราบปรามกันอยู่ 2.การเมืองเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ที่ยังคงใช้วิธีกดดันรูปแบบต่างๆ อันเป็นลักษณะปลายของแห่งสันติวิธี แต่ก็มีการพูดจากันบ้างแล้ว เพราะทั้งสองฝ่ายก็ต่างอยากให้ประเทศมีความสงบสุข และ 3.ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรต่างๆ ในหลายจังหวัด ที่ยังคงใช้กำลังชาวบ้านกดดันภาครัฐและเอกชน อันนำมาซึ่งความรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต ถึงขนาดว่ามีผู้ทำบันทึกรายชื่อของผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้โดยสันติวิธี ซึ่งมีรายชื่อมากมาย ทั้งหมดที่กล่าวมาคือการหวังที่จะแพ้ชนะกัน
อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนก็มีส่วนที่จะส่งเสริมให้หาทางออกเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว แต่ก็มีสื่อบางช่อง นำคู่กรณีมาพูดคุยกันแล้วก็ทะเลาะกันออกรายการ เพราะต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ พยายามที่จะจับผิดคำพูดของอีกฝ่าย เพื่อเป็นจุดอ่อนในการหักล้างประเด็นให้ได้ชัยชนะเหมือนการโต้วาที ดังนั้น ทางออกที่ดีสำหรับ 3 ปัญหาหากที่จะแก้ไข คือ ทำยังไงให้ทั้งสองฝ่ายไม่คิดว่าเป็นคู่กรณีกัน แต่เป็นคนที่ร่วมกันช่วยกันแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง อย่ากลัวที่จะแก้ไขปัญหาที่มันแก้ไม่ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่กลัวเสียหน้า กลัวเสียดุลอำนาจ
“คนส่วนใหญ่มักคิดว่า การเจรจา คือ วิธีสำหรับคนขี้แพ้ ได้อย่างเสียอย่างแต่กลับลืมนึกว่าไป ผู้กล้าต่างหากที่ใช้หลักสันติวิธี คนขลาดเขลา คือ คนที่ใช้ความรุนแรง” นายโคทม กล่าวตอนท้าย
