เพราะกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย เป็นแหล่งรวมของผู้คนมากมาย ที่หลั่งไหลถาโถมเข้ามา ปัญหาอาชญากรรมจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โครงการ “ชอปเปอร์ระวังภัย” หน่วยจู่โจม “ปะฉะดะ” เคลื่อนที่เร็ว จึงเกิดขึ้นจากแนวคิดของ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เจ้าของฉายา “มือปราบหูดำ” เพื่อป้องกันและปราบปรามปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
พล.ต.ต.วิชัย ให้นิยาม “ปะ ฉะ ดะ” ไว้ว่า “ปะ: คือเมื่อไปเจอร้ายหรือเหตุต้องสงสัย ต้องเข้าตรวจค้นทันที ฉะ : ถ้าพบใครทำผิดกฎหมายต้องจับกุมทันที ดะ : ไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น ไม่ว่าใครหน้าไหน ทำผิดต้องได้รับโทษ ไม่มียกเว้น”
โครงการนี้มีการนำรถจักรยานยนต์แพนทอม 18 คัน จัดเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว คัดเลือกเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนและสัญญาญาบัตรที่มีบุคลิก ร่างกายฉกรรจ์ แข็งแรงกำยำ มีความสูงไม่ต่ำกว่า 175 เซนติเมตร จาก 8 สน.ในพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย สน.ดุสิต สน.สามเสน สน.มักกะสัน สน.พญาไท สน.ดินแดง สน.ห้วยขวาง สน.นางเลิ้ง และ สน.ชนะสงคราม จำนวน 18 นายที่เข้ารับการฝึกอบรมแผนเผชิญเหตุ การป้องกันระวังอาชญากรรม การจู่โจมช่วยเหลือตัวประกัน การเข้าระงับเหตุเฉพาะหน้า อาทิ คดีฉกชิงวิ่งราวลักวิ่งชิงปล้น รวมถึงการให้การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรตามจุดต่างๆ ที่มาปัญหาการจราจรติดขัด อีกทั้งยังสามารถเข้าไปสืบสวนหาข่าวในชุมนุม ได้อย่างคล่องตัวด้วย
สำหรับการทำงานของชุดปฏิบัติการตามโครงการนี้จะทำหน้าที่ลักษณะ “ชุดจู่โจมปะฉะดะ” ตรวจตราความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รับผิดชอบเปรียบเหมือน “นายอำเภอในต่างประเทศ” ที่ออกตรวจความเป็นอยู่ทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน เช่นเดียวกับ “หน่วยชอปเปอร์ระวังภัย” ชุดนี้ที่มีประสิทธิภาพการทำงานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และโครงการนี้ยังได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี ในการจัดซื้อรถจักรยายนต์พาหนะ 18 คันพร้อมเครื่องแต่งกายควบชุดกว่า 2 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่จะแต่งกายในชุดสีดำลักษณะคล้ายชุดหมีมีป้ายชื่อ ยศ ตำแหน่ง และสัญลักษณ์โครงการติดที่หน้าอกอย่างชัดเจน สวมหมวกกันน็อกสีดำ แว่นตาดำ รองเท้าบู๊ต พร้อมอุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเบื้องต้นครบมือออกปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.ทุกวันรับผิดชอบท้องที่ละ 2 นายเน้นจุดที่มีประชาชนพลุกพล่านเป็นจำนวนมาก เช่น ย่านอนุสาวรีย์ชัย ถนนข้าวสาร ป้ายรถประจำทาง หน้าห้างสรรพสินค้าและสถานีรถไฟฟ้าต่างๆ
ภาพการเปิดโครงการ “ชอปเปอร์ระวังภัย” ที่มี นายเพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หรือ หม่ำ จ๊กมก ตลกชื่อดังของเมืองไทย และ นายเจริญพร อ่อนละม้าย หรือโก๊ะตี๋ อารามบอย เป็นพรีเซ็นเตอร์ ถูกกระจายออกตามสื่อมวลชนหลายแขนง แม้ความต้องการอาจจะให้ประชาชนได้ติดตา และเข้าใจถึงการทำงานที่ต้องการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ บก.น.1 แต่การที่มีตลก ออกมาแสดงท่าทางที่ชวนหัว เหมือนกับเป็นการไม่จริงใจ เรื่องที่ทำเหมือนเรื่อง “ตลก” คงตลกไม่ออก
เข้าใจว่าการที่ดึงตลกชื่อดังเมืองไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ คงเพื่อต้องการให้โคงการนี้เป็นที่ติดตาของประชาชน แต่ในวันเปิดตัวที่ สองตลกชื่อดังมาแต่งเครื่องแบบตำรวจ และแสดงท่าทางการยิงปืนเพื่อสร้างความขบขันนั้น ดูแล้วตลกไม่ออก เหมือนเป็นการเอาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มาล้อเล่น
แม้จะมีการปฏิเสธจากเจ้าของโครงการว่า จ่าหม่ำเข้ามาทำรายการ “หม่ำโชว์” ไม่เกี่ยวกับการเปิดโครงการ แต่ภาพที่ปรากฏคงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้
อีกทั้งงบประมาณที่ได้รับมา 2 ล้านบาท แม้จะนำมาใช้ทั้งการซื้อรถจักรยานยนต์ หรืออุปกรณ์ รวมถึงเครื่องแบบ ส่วนนี้คงต้องบวกลบคูณหารกันก่อนว่าจะคุ้มกับการที่ลงทุนไปหรือไม่ เพราะการที่เลียนแบบการทำงานของต่างประเทศนั้นไม่รู้ว่าเป็นการแก้ปัญหาตรงจุด หรือการเกาถูกที่คันหรือไม่ เพราะการใช้งานของชุดจู่โจมชุดนี้ เพียงแค่การตรวจตราตามถนนสายหลัก ไม่รวมตรอกซอกซอย ที่ยังคงใช้ตำรวจท้องที่เหมือนเดิม เช่นนี้หากเกิดเหตุในจุดแบบนั้นจะทำอย่างไรเล่า
แต่อย่างไรก็คงต้องขอดูจนถึงเวลาประเมินผลงานว่าโครงการที่เปิดตัวอย่างอลังการครั้งนี้ จะดีขึ้นหรือล้มเหลว ก็ค่อยว่ากันอีกที แม้ว่าทั้งหมดจะทำเพื่อลดปัญหาให้ประชาชน แต่หากมีอีก ขอได้อย่านำเอาความเดือดร้อนประชาชน และการป้องกันปราบปรามระวังภัย มาเป็นเรื่อง “ตลก ล้อเล่น”
เป็นที่ทราบกันดีว่า โครงการ “ปะ ฉะ ดะ” นั้น มาจากแนวคิดและผลงานของ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เจ้าของฉายา “มือปราบหูดำ” ด้วยเอกลักษณ์ที่หูซ้ายมีปานดำ และเป็นนายตำรวจมือปราบอันดับต้นๆ ของนครบาลที่โด่งดังมาจากกองกำกับการสืบสวนนครบาลใต้ (กก.สส.บก.น.ใต้) ในอดีต ซึ่งก่อนหน้านี้ เรื่องราวของ พล.ต.ต.วิชัย เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ซีดีเรื่อง “มือปราบหูดำ” ตอน “มาเฟียหลงยุค เยาวราช และ อาชญากรข้ามชาติ” มาแล้ว นัยว่าเป็นภาพยนตร์ซีดีที่ พล.ต.ต.วิชัยสร้างขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตาม แม้อุปกรณ์ต่างๆ ทั้งรถ และเครื่องแบบจะมีเอกชนผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้กับ บก.น.1 ไปดำเนินการในเรื่องนี้ ทว่าในความเป็นจริง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มิใช่จะป้องกันได้ง่ายเหมือนในภาพยนตร์ที่มีตำรวจเป็นพระเอก โดยเฉพาะพระเอกที่ชื่อ “วิชัย สังข์ประไพ” ดังนั้น โครงการนี้จึงน่าเป็นที่เฝ้าจับตาว่า ผลงานจะคุ้มค่ากับจำนวนเม็ดเงินที่เอกชนลงทุนให้หรือไม่ หรือเพียงแค่ต้องการประชาสัมพันธ์หน่วยงานของ บก.น.1 เองว่า “นี่คือผลงาน”... ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจึงมิใช่เป็นเรื่อง “ตลก!”
ภาคผนวก
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อายุ 54 ปี เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2498 จบปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปริญญาโทพัฒนาสังคม จากสถาบันนิด้า ผ่านหลักสูตร ปรม.จากสถาบันพระปกเกล้า ปี 2550 และผู้บริหารชั้นสูงของ ตร.(บตส.) รุ่น 25
ในเส้นทางสีกากีตั้งต้นเมื่อปี 2524 เป็น รอง สว.ประจำ บช.น.จากนั้นก้าวผ่านตำแหน่งสำคัญๆ เช่น รอง สว.สส.สน.พญาไท สวส.สน.พลับพลาไชย 2 สว.สส.สน.พลับพลาไชย 2 สว.จร.สน.บางเขน รอง ผกก.สส.น.ใต้ รอง ผกก.สส.บก.น.5 และ นว.(สบ 4) รอง ผบ.ตร. (พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ) ปี 2543 เป็น ผกก.สส.บก.น.8 แล้วขยับเป็น รอง ผบก.น.2 ปี 2546 ที่สร้างความฮือฮาตั้งชุด “ปะ ฉะ ดะ” ไล่ล่าอาชญากรรมในพื้นที่จนเป็นที่ขยาดของคนร้ายเมื่อได้ยินชื่อ “รองแต้ม-มือปราบหูดำ”
ในปี 2550 เจอมรสุมจาก คมช.ไปเป็น รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ อยู่ภูธรครั้งแรกในชีวิต และกลับมาผงาดขึ้นเป็นผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 (บก.น.3 ) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามาขึ้นเป็นผู้การในนครบาลตามตั๋วของ “นายเนวิน ชิดชอบ” จนกระทั่งถูกโยกสลับมาคุมพื้นที่นครบาลชั้นใน เป็น ผบก.น.1 ในปัจจุบัน
พล.ต.ต.วิชัย ให้นิยาม “ปะ ฉะ ดะ” ไว้ว่า “ปะ: คือเมื่อไปเจอร้ายหรือเหตุต้องสงสัย ต้องเข้าตรวจค้นทันที ฉะ : ถ้าพบใครทำผิดกฎหมายต้องจับกุมทันที ดะ : ไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น ไม่ว่าใครหน้าไหน ทำผิดต้องได้รับโทษ ไม่มียกเว้น”
โครงการนี้มีการนำรถจักรยานยนต์แพนทอม 18 คัน จัดเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว คัดเลือกเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนและสัญญาญาบัตรที่มีบุคลิก ร่างกายฉกรรจ์ แข็งแรงกำยำ มีความสูงไม่ต่ำกว่า 175 เซนติเมตร จาก 8 สน.ในพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย สน.ดุสิต สน.สามเสน สน.มักกะสัน สน.พญาไท สน.ดินแดง สน.ห้วยขวาง สน.นางเลิ้ง และ สน.ชนะสงคราม จำนวน 18 นายที่เข้ารับการฝึกอบรมแผนเผชิญเหตุ การป้องกันระวังอาชญากรรม การจู่โจมช่วยเหลือตัวประกัน การเข้าระงับเหตุเฉพาะหน้า อาทิ คดีฉกชิงวิ่งราวลักวิ่งชิงปล้น รวมถึงการให้การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรตามจุดต่างๆ ที่มาปัญหาการจราจรติดขัด อีกทั้งยังสามารถเข้าไปสืบสวนหาข่าวในชุมนุม ได้อย่างคล่องตัวด้วย
สำหรับการทำงานของชุดปฏิบัติการตามโครงการนี้จะทำหน้าที่ลักษณะ “ชุดจู่โจมปะฉะดะ” ตรวจตราความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รับผิดชอบเปรียบเหมือน “นายอำเภอในต่างประเทศ” ที่ออกตรวจความเป็นอยู่ทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน เช่นเดียวกับ “หน่วยชอปเปอร์ระวังภัย” ชุดนี้ที่มีประสิทธิภาพการทำงานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และโครงการนี้ยังได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี ในการจัดซื้อรถจักรยายนต์พาหนะ 18 คันพร้อมเครื่องแต่งกายควบชุดกว่า 2 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่จะแต่งกายในชุดสีดำลักษณะคล้ายชุดหมีมีป้ายชื่อ ยศ ตำแหน่ง และสัญลักษณ์โครงการติดที่หน้าอกอย่างชัดเจน สวมหมวกกันน็อกสีดำ แว่นตาดำ รองเท้าบู๊ต พร้อมอุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเบื้องต้นครบมือออกปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.ทุกวันรับผิดชอบท้องที่ละ 2 นายเน้นจุดที่มีประชาชนพลุกพล่านเป็นจำนวนมาก เช่น ย่านอนุสาวรีย์ชัย ถนนข้าวสาร ป้ายรถประจำทาง หน้าห้างสรรพสินค้าและสถานีรถไฟฟ้าต่างๆ
ภาพการเปิดโครงการ “ชอปเปอร์ระวังภัย” ที่มี นายเพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หรือ หม่ำ จ๊กมก ตลกชื่อดังของเมืองไทย และ นายเจริญพร อ่อนละม้าย หรือโก๊ะตี๋ อารามบอย เป็นพรีเซ็นเตอร์ ถูกกระจายออกตามสื่อมวลชนหลายแขนง แม้ความต้องการอาจจะให้ประชาชนได้ติดตา และเข้าใจถึงการทำงานที่ต้องการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ บก.น.1 แต่การที่มีตลก ออกมาแสดงท่าทางที่ชวนหัว เหมือนกับเป็นการไม่จริงใจ เรื่องที่ทำเหมือนเรื่อง “ตลก” คงตลกไม่ออก
เข้าใจว่าการที่ดึงตลกชื่อดังเมืองไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ คงเพื่อต้องการให้โคงการนี้เป็นที่ติดตาของประชาชน แต่ในวันเปิดตัวที่ สองตลกชื่อดังมาแต่งเครื่องแบบตำรวจ และแสดงท่าทางการยิงปืนเพื่อสร้างความขบขันนั้น ดูแล้วตลกไม่ออก เหมือนเป็นการเอาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มาล้อเล่น
แม้จะมีการปฏิเสธจากเจ้าของโครงการว่า จ่าหม่ำเข้ามาทำรายการ “หม่ำโชว์” ไม่เกี่ยวกับการเปิดโครงการ แต่ภาพที่ปรากฏคงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้
อีกทั้งงบประมาณที่ได้รับมา 2 ล้านบาท แม้จะนำมาใช้ทั้งการซื้อรถจักรยานยนต์ หรืออุปกรณ์ รวมถึงเครื่องแบบ ส่วนนี้คงต้องบวกลบคูณหารกันก่อนว่าจะคุ้มกับการที่ลงทุนไปหรือไม่ เพราะการที่เลียนแบบการทำงานของต่างประเทศนั้นไม่รู้ว่าเป็นการแก้ปัญหาตรงจุด หรือการเกาถูกที่คันหรือไม่ เพราะการใช้งานของชุดจู่โจมชุดนี้ เพียงแค่การตรวจตราตามถนนสายหลัก ไม่รวมตรอกซอกซอย ที่ยังคงใช้ตำรวจท้องที่เหมือนเดิม เช่นนี้หากเกิดเหตุในจุดแบบนั้นจะทำอย่างไรเล่า
แต่อย่างไรก็คงต้องขอดูจนถึงเวลาประเมินผลงานว่าโครงการที่เปิดตัวอย่างอลังการครั้งนี้ จะดีขึ้นหรือล้มเหลว ก็ค่อยว่ากันอีกที แม้ว่าทั้งหมดจะทำเพื่อลดปัญหาให้ประชาชน แต่หากมีอีก ขอได้อย่านำเอาความเดือดร้อนประชาชน และการป้องกันปราบปรามระวังภัย มาเป็นเรื่อง “ตลก ล้อเล่น”
เป็นที่ทราบกันดีว่า โครงการ “ปะ ฉะ ดะ” นั้น มาจากแนวคิดและผลงานของ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เจ้าของฉายา “มือปราบหูดำ” ด้วยเอกลักษณ์ที่หูซ้ายมีปานดำ และเป็นนายตำรวจมือปราบอันดับต้นๆ ของนครบาลที่โด่งดังมาจากกองกำกับการสืบสวนนครบาลใต้ (กก.สส.บก.น.ใต้) ในอดีต ซึ่งก่อนหน้านี้ เรื่องราวของ พล.ต.ต.วิชัย เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ซีดีเรื่อง “มือปราบหูดำ” ตอน “มาเฟียหลงยุค เยาวราช และ อาชญากรข้ามชาติ” มาแล้ว นัยว่าเป็นภาพยนตร์ซีดีที่ พล.ต.ต.วิชัยสร้างขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตาม แม้อุปกรณ์ต่างๆ ทั้งรถ และเครื่องแบบจะมีเอกชนผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้กับ บก.น.1 ไปดำเนินการในเรื่องนี้ ทว่าในความเป็นจริง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มิใช่จะป้องกันได้ง่ายเหมือนในภาพยนตร์ที่มีตำรวจเป็นพระเอก โดยเฉพาะพระเอกที่ชื่อ “วิชัย สังข์ประไพ” ดังนั้น โครงการนี้จึงน่าเป็นที่เฝ้าจับตาว่า ผลงานจะคุ้มค่ากับจำนวนเม็ดเงินที่เอกชนลงทุนให้หรือไม่ หรือเพียงแค่ต้องการประชาสัมพันธ์หน่วยงานของ บก.น.1 เองว่า “นี่คือผลงาน”... ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจึงมิใช่เป็นเรื่อง “ตลก!”
ภาคผนวก
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อายุ 54 ปี เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2498 จบปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปริญญาโทพัฒนาสังคม จากสถาบันนิด้า ผ่านหลักสูตร ปรม.จากสถาบันพระปกเกล้า ปี 2550 และผู้บริหารชั้นสูงของ ตร.(บตส.) รุ่น 25
ในเส้นทางสีกากีตั้งต้นเมื่อปี 2524 เป็น รอง สว.ประจำ บช.น.จากนั้นก้าวผ่านตำแหน่งสำคัญๆ เช่น รอง สว.สส.สน.พญาไท สวส.สน.พลับพลาไชย 2 สว.สส.สน.พลับพลาไชย 2 สว.จร.สน.บางเขน รอง ผกก.สส.น.ใต้ รอง ผกก.สส.บก.น.5 และ นว.(สบ 4) รอง ผบ.ตร. (พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ) ปี 2543 เป็น ผกก.สส.บก.น.8 แล้วขยับเป็น รอง ผบก.น.2 ปี 2546 ที่สร้างความฮือฮาตั้งชุด “ปะ ฉะ ดะ” ไล่ล่าอาชญากรรมในพื้นที่จนเป็นที่ขยาดของคนร้ายเมื่อได้ยินชื่อ “รองแต้ม-มือปราบหูดำ”
ในปี 2550 เจอมรสุมจาก คมช.ไปเป็น รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ อยู่ภูธรครั้งแรกในชีวิต และกลับมาผงาดขึ้นเป็นผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 (บก.น.3 ) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามาขึ้นเป็นผู้การในนครบาลตามตั๋วของ “นายเนวิน ชิดชอบ” จนกระทั่งถูกโยกสลับมาคุมพื้นที่นครบาลชั้นใน เป็น ผบก.น.1 ในปัจจุบัน