“น้องเหน่ง” รองมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปี 49 พบพนักงานสอบสวนกองปราบฯ รับทราบข้อหาโกงหุ้นส่วนธุรกิจ 17 ล้าน เจ้าตัวให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ด้านทนายหัวหมอขู่ฟ้องสื่อที่เผยแพร่ข่าว
วันนี้ (18 พ.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.30 น. นายไพรัตน์ วงศ์พาณิชอักษร อายุ 48 ปี และ น.ส.สุวรัตน์ หรือเหน่ง การกรณ์ อายุ 27 ปี อดีตรองมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปี 2549 รุ่นเดียวกับ น้องชาม น.ส.ชาม โอสถานนท์ เข้าพบ พ.ต.ต.มาโนช สวนดอกไม้ พนักงานสอบสวน บก.ป.เพื่อรับทราบข้อหาร่วมกันฉ้อโกง นายจักรพันธ์ แก้วมุกดา อายุ 31 ปี ให้ร่วมทำธุรกิจแต่สุดท้ายนายจักรพันธ์ตกเป็นหนี้เงินกู้ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 17 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา นายจักรพันธ์เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน บก.ป.ว่าถูกนายไพรัตน์ และ น.ส.สุวรัตน์ ร่วมกันฉ้อโกงโดยชักชวนให้ตนกับ น.ส.รุ่งทิวา นิลคำ อายุ 26 ปี แฟนสาว ใช้ชื่อไปกู้เงินจากสถาบันการเงินหลายแห่งเพื่อนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจหลายอย่าง โดยเมื่อประมาณเดือน ต.ค.2549 แฟนสาวของตนได้พบกับ น.ส.สุวรัตน์ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าสมัยเป็นนักเรียนมัธยม และได้พูดคุยรำลึกความหลังกันจนกลับมาสนิทสนมกันอีกครั้ง
นายจักรพันธ์ให้การต่อว่า ต่อมา น.ส.สุวรัตน์ได้ชักชวนตนกับแฟนสาวให้มาร่วมลงทุนทำธุรกิจโดยหว่านล้อมว่าอยากเป็นเจ้าของธุรกิจหรือไม่ ซึ่งตนกับแฟนสาวเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองจึงตกลงร่วมลงทุนด้วย โดยครั้งแรกขอชื่อตนกับแฟนสาวไปขอกู้เงินจากธนาคาร จำนวน 1.2 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ครั้งแรกกู้ไม่ได้ ต่อมาทั้งสองก็ชักชวนให้มาร่วมเปิดบริษัท บีกูเป้กรุ๊ป จำกัด ให้บริการรถเช่าโดยให้ตนกับแฟนสาวเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งเพื่อมาซื้อรถยนต์ยี่ห้อดัง รวม 6 คัน โดยรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่นซี 180 มีชื่อตนเป็นเจ้าของแต่ธุรกิจนี้ก็ล้มเหลว
นายจักรพันธ์ให้การอีกว่า หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้มาขอชื่อตนไปเป็นกรรมการบริษัท รวมพลคนรักกุ้ง จำกัด ทำธุรกิจร้านอาหารชื่อ “กุ้งเผารีสอร์ท” ถ.เกษตร-นวมินทร์ และใช้ชื่อตนกู้เงินจากธนาคารหลายแห่งเพื่อนำมาลงทุนซื้อบ้านอีก 10 หลังที่เมืองเอกรังสิต จ.ปทุมธานี นอกจากนี้ ในการกู้เงินนั้นยังได้มีการทำบัตรเครดิตอีกนับสิบใบในชื่อตนกับแฟนสาว แต่ น.ส.สุวรัตน์เป็นผู้นำบัตรเครดิตทั้งหมดไปใช้
โดยที่ผ่านมาตนกับแฟนสาวก็ไม่เคยได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ กระทั่งถูกทางธนาคารต่างๆ ติดตามทวงหนี้ซึ่งมีทั้งหนี้เงินกู้และหนี้บัตรเครดิตรวมเป็นเงินกว่า 17 ล้านบาททำให้ตนกับแฟนสาวได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
“เมื่อผมทวงถาม น.ส.สุวรัตน์ก็อ้างว่าจะชดใช้หนี้ให้ทั้งหมด แต่จนถึงขณะนี้กลับยังไม่มีการดำเนินการใดๆ คิดว่าถูกหลอกแล้วจึงต้องเข้าแจ้งความดังกล่าว” นายจักรพันธ์ กล่าว
สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอให้การชั้นศาล อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามข้อเท็จจริงจากนายไพรัตน์ และ น.ส.สุวรัตน์ แต่ทั้งสองปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนทนายความของคนทั้งสองได้ขู่จะฟ้องร้องสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข่าวนี้ด้วย