รอง ผบช.น.กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาเข้มงวดปราบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในทุกพื้นที่ เผยเหตุจับผู้ค้าย่านพัฒนพงษ์ลอบค้าของปลอมเมื่อคืนวานมีกำลัง กอ.รมน.ร่วมชุดเฉพาะกิจกระทรวงพาณิชย์เข้าดำเนินการ พร้อมเดินหน้าลุยกวาดล้างให้หมดไป หรือต้องควบคุมให้ได้ เปรยหากท้องที่พัฒนพงษ์ดูแลไม่ไหวต้องให้คนอื่นไปช่วยเหลือ
วันนี้ (7 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อเวลา 14.00 น.พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น.ฝ่ายป้องกันและปราบปราม เรียกประชุมรอง ผบก.น.1-9 ตปพ.ที่รับผิดชอบงานด้านปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อกำชับสั่งการในการดำเนินการปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
พล.ต.ต.วิบูลย์ กล่าวว่า ได้เรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ บช.น.เพื่อวางแนวทางการทำงาน เพื่อลดความรุนแรงในการเข้าจับกุม ซึ่งหลักใหญ่ตำรวจจะมีการประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือก่อน หากไม่เชื่อฟังเราก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมาย อย่างเฉียบขาดต่อไป
พล.ต.ต.วิบูลย์ กล่าวถึงกรณีชุดเฉพาะกิจกระทรวงพาณิชย์ระดมกวาดล้างผู้ค้าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่ย่านพัฒนพงษ์ว่า พ.อ.นรินทร์ พรรณรายน์ ซึ่งเป็นรองประธานคณะทำงานป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้นำกำลัง กอ.รมน.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กอ.รมน.เข้าไปจับกุมผู้ค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ย่านพัฒนพงษ์ สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 4 คน
พล.ต.ต.วิบูลย์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดเนื่องจากชุดจับกุมได้ยึดสินค้าจากบรรดาผู้ค้าไปทั้งหมด โดยไม่มีการแยกว่าสินค้าใดที่เข้าข่ายความผิด ซึ่งในความเป็นจริงเจ้าหน้าที่จะต้องแยกสินค้าและยึดไปแฉพาะสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเท่านั้น ทำให้พ่อค้าแม่ค้าไม่พอใจจึงเกิดการต่อต้าน อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 และ พ.ต.อ.เอกชัย บุญวิสุทธิ์ ผกก.สน.บางรัก ได้เข้าไปเจรจาจนเหตุการณ์สงบเรียบร้อย
พล.ต.ต.วิบูลย์ กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นฝ่ายผู้ค้าได้แจ้งข้อหาปล้นทรัพย์ พกพาอาวุธปืนและทำร้ายร่างกายกับชุดจับกุม ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งการเข้าจับกุมครั้งนี้ มี พ.อ.นรินทร์ เป็นรองประธานคณะทำงาน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากกระทรวงพาณิชย์ ส่วนคนที่ไปประกอบด้วยกำลัง 50 คน ต้องไปสืบสวนสอบสวนว่าเขามีอำนาจหรือไม่ หากเป็นการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ มีคนรับรองมาอย่างถูกต้อง ก็ไม่มีปัญหา
“ในการจับกุมสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้น ตามหลักของตำรวจ หากผู้เสียหายพบมีการจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผู้เสียหายก็จะไปที่ สน.เพื่อแจ้งความร้อยเวรลงบันทึกประจำวัน ว่า มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่ร้านไหน อย่างไร จำนวนกี่ร้าน ซึ่งตำรวจรับแจ้งความไว้ ก่อนประสานฝ่ายสืบสวน ไปจับกุม ซึ่งหากเป็นร้านแผงลอยสามารถจับกุมได้เลย แต่หากเป็นร้านเปิดเป็นอาคารพาณิชย์ จะต้องขอหมายค้นก่อน ซึ่งกรณีของชุดจับกุมดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย” รอง ผบช.น.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจับกุมสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องมีการนำผู้เสียหายเข้านำจับแต่กรณีนี้ไม่มี พล.ต.ต.วิบูลย์ กล่าวว่า การเข้าจับกุม หากมีเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ เข้าไปเอง เมื่อพบสิ่งกฎหมายก็สามารถจับกุมโดยไม่จำเป็นต้องมีผู้เสียหาย ส่วนที่มีการพกพาอาวุธปืนเข้าไป หากเป็นตำรวจ ไปทำงาน มีใบพก ก็น่าจะทำได้ ซึ่งก็ต้องดูว่าทำตามขั้นตอนหรือไม่ ส่วนที่มีการยิงปืนนั้นอาจจะเป็นการป้องกันตัวก็ได้ ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
ต่อข้อถามว่าการเข้าจับกุมต้องมีการแจ้งให้ตำรวจท้องที่รับทราบหรือไม่ รอง ผบช.น.กล่าวว่า หลักการควรจะแจ้งให้ตำรวจท้องที่รับทราบ แต่เขาอาจจะกลัวว่าหากแจ้งท้องที่แล้วข่าวอาจจะรั่วไหลได้ จึงไม่มีการแจ้ง ซึ่งหากแจ้งคงไม่เกิดเหตุเช่นนี้ ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะแจ้งตำรวจกองปราบปราม หรือกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ซึ่งรู้เทคนิควิธีการเข้าจับกุม กระบวนการขั้นตอน รู้วิธีการในการแสดงตัว การที่จับกุมอย่างไรให้ปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการคาดโทษ พ.ต.อ.เอกชัย บุญวิสุทธิ์ ผกก.สน.บางรัก หรือไม่ พล.ต.ต.วิบูลย์ กล่าวว่า ตนจะได้กำชับให้ดำเนินการให้ปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้หมดไป หรือให้มีน้อยที่สุด ต้องควบคุมให้ได้ ซึ่งหากไม่ไหวก็ต้องให้คนอื่นไปช่วยเหลือ