จับ “สิบเอก ทบ.-เมีย” ผู้ต้องหาร่วมกันลอบวางระเบิดฆ่าเจ้าหนี้นักธุรกิจค้าอัญมณี-บ้านจัดสรร ส่วนตำรวจมุ่งปมคลี่คลายคดีไปที่เรื่องหนี้สินส่วนตัว หลังก่อเหตุใช้รีโมตรถบังคับวิทยุเด็กเล่น ส่งสัญญาณระเบิดท้ายรถเบนซ์บริเวณหน้าบ้านพักขณะนักธุรกิจรอคนรับใช้เปิดประตูนำรถเข้า แต่ไม่มีคนเสียชีวิต
วันนี้ (27 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น.พ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผกก.สน.สุทธิสาร เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.วานนี้ (26 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.สุทธิสาร ได้นำกำลังเข้าไปจับกุมตัว ส.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ดิษเจริญ อายุ 29 ปี ทหารประจำการสังกัด กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ และภรรยา คือ น.ส.เบญญทิพย์ เดโชชัย อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 104 หมู่ 1 ต.บ้านแหลม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาถนนรัชดา เลขที่ 1138-1139/2552 ลงวันที่ 26 เม.ย.52 ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยใช้วัตถุระเบิด” โดยจับกุมตัว ส.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ได้บริเวณด้านหน้ากองร้อย ส่วน น.ส.เบญญทิพย์ ถูกจับกุมได้ที่บ้านพักย่านพระราม 5
การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.อนุพงษ์ ทัศนา พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.สุทธิสาร ได้รับแจ้งว่ามีเหตุเพลิงไหม้รถ เนื่องจากถังแก๊สระเบิด บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 45 ซอยศุภฤกษ์ ถนนลาดพร้าว 48 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม.จึงรุดไปตรวจสอบพบรถเบนซ์ รุ่น C 220 สีดำ หมายเลขทะเบียน 8ษ-8938 กทม. จอดอยู่หน้าบ้านหลังดังกล่าว ในสภาพกระโปรงหลังถูกแรงอัดจนพังยับเยิน ล้อหลังด้านขวาแบน และมีเพลิงลุกไหม้ เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันใช้ถังน้ำยาเคมีเข้าดับไฟ ก่อนทำการตรวจสอบในที่เกิดเหตุพร้อมกองพิสูจน์หลักฐาน
แต่จากผลการตรวจหาหลักฐาน กลับพบว่า มีแผงวงจรภาครับของรถบังคับวิทยุตกอยู่ 1 ชุด พร้อมด้วยสะเก็ดระเบิดชนิดแสวงเครื่อง ซึ่งยังไม่สามารถระบุประเภทได้ตกอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพบเศษอาหารทะเลและผลไม้ ประกอบด้วย ปลาหมึก ปลากะพงขาว กุ้ง สาลี่ ชมพู่ และส้ม กระจัดกระจายอยู่เกลื่อนพื้นถนน และเมื่อทำการรื้อค้นในถังขยะสีฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านที่เกิดเหตุห่างไปประมาณ 6 เมตร ยังพบรีโมตรถบังคับวิทยุเด็กเล่นซึ่งเป็นภาคส่งสัญญาณที่คนร้ายนำมาทิ้งเอาไว้ในลักษณะเปิดส่งสัญญาณอยู่ตลอดเวลาอีก 1 ชิ้น เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมรายละเอียดที่พบไว้เป็นหลักฐาน
จากผลการสอบสวน นางสุดใจ เกษกาญจนานุช อายุ 68 ปี นักธุรกิจบ้านจัดสรรและค้าอัญมณี ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่นั่งอยู่ในรถ เปิดเผยในเบื้องต้นว่า ขณะเกิดเหตุตนพร้อมสามีและคนขับรถ ได้พากันไปทำธุระนอกบ้าน โดยตนนั่งอยู่บริเวณเบาะหลังรถ ส่วนสามี ซึ่งเป็นอดีตปลัดฝ่ายการปกครอง จ.ปราจีนบุรี นั่งอยู่ที่เบาะหน้าคู่กับคนขับ ขณะที่พากันเดินทางกลับโดยรถกำลังจะหยุดจอดที่หน้าบ้านนั้น คนขับได้บีบแตรเรียกคนรับใช้ชื่อ น.ส.อารียา ใจดี อายุ 17 ปี ให้ออกมาเปิดประตูบ้าน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงจากรถ ปรากฏว่า มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากกระโปรงท้าย ตามด้วยเปลวเพลิงลุกขึ้นจำนวนมากส่งผลให้ตัวถังด้านหลังพังยับเยินโชคดีที่คนในรถไม่ได้รับอันตราย แต่ น.ส.อารียา ซึ่งกำลังเดินมาเปิดประตูให้ ได้ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่หน้าอกซ้าย และต้นขาทั้ง 2 ข้าง ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทีแรกคิดว่าเป็นถังแก๊ส LPG ระเบิด ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกลอบสังหาร
ด้าน พ.ต.อ.มานพ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์คำให้การของผู้เสียหาย ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้พากันเดินทางไปพบ น.ส.เบญจทิพย์ ที่บ้านพักย่านพระราม 5 เพื่อทวงหนี้จากการซื้อขายเพชรและหนี้ที่เกิดจากการทำธุรกิจจัดสรรที่ดินร่วมกัน จำนวน 3 ล้านบาทเศษ โดยก่อนหน้านั้น น.ส.เบญจทิพย์ ก็ได้โทรศัพท์มาหาบอกให้ไปเอาอาหารทะเลที่บ้านด้วย แต่จุดที่ต้องสงสัยนั้น คือ เมื่อผู้เสียหายทั้งหมดเดินทางไปถึง น.ส.เบญจทิพย์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านกลับไหว้วานให้คนขับรถไปคอยดูแลลูกชายวัย 2 ขวบของตัวเอง ที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในสระห่างจากบ้านพักประมาณ 30 เมตร และกำชับด้วยว่าให้เปิดฝากระโปรงท้ายรถเอาไว้ โดยอ้างว่าจะนำถุงอาหารมาใส่ให้เพื่อนำกลับที่พัก
พ.ต.อ.มานพ กล่าวอีกว่า เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายคุยธุระกันเสร็จแล้ว ฝ่ายผู้เสียหาย ก็พากันเดินทางกลับ โดยระหว่างที่รถต้องขึ้นลงสะพานก็มักจะได้ยินเสียงของหนักกระแทกกับฝากระโปรงด้านหลังอยู่เป็นระยะ ทีแรกทุกคนบนรถยังคิดว่าเป็นเพราะโช้ครถไม่ดี แต่พอจะจอดรถบริเวณหน้าบ้านกลับมีเสียงระเบิดขึ้น โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก จากนั้นประมาณ 15 นาทีต่อมา น.ส.เบญจทิพย์ ก็ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ โทรเข้าไปหาผู้เสียหายเพื่อสอบถามความเคลื่อนไหว จึงเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย น่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารผู้เสียหายในครั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวนจึงรวบรวมหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับก่อนประสานให้ฝ่ายสืบสวนเดินทางไปจับกุมในทันที
พ.ต.อ.มานพ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาฝ่ายชายยังให้การปฏิเสธ จึงได้ทำเรื่องติดต่อไปยังผู้บังคับบัญชาให้รับทราบแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ทางตำรวจต้องทำอย่างละเอียดอ่อนเพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างสถาบัน ส่วนประเด็นการลอบสังหารขณะนี้มุ่งปมไปที่เรื่องหนี้สินส่วนตัวเพียงเรื่องเดียว ขั้นตอนต่อไปคงจะต้องรีบสืบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งจะต้องรีบไปประสานขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่ต่างๆ ตามเส้นทางก่อนที่จะถึงบ้านของผู้เสียหาย เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงคนร้ายผู้ที่นำรีโมตมาวางไว้ในถังขยะให้สอดคล้องกับวัตถุระเบิดที่ถูกนำมาวางไว้ในกระโปรงหลังรถด้านขวา ส่วนชนิดของระเบิดที่คนร้ายใช้นั้นยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของกองพิสูจน์หลักฐานซึ่งขญะนี้ตนก็ยังไม่สามารถระบุได้
มีรายงานว่า น.ส.เบญจทิพย์ ผู้ต้องหารายนี้ประกอบธุรกิจทำเครื่องเบญจรงค์ เพิ่งจะอยู่กินกับ ส.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ได้เพียง 1 ปีเศษ โดยก่อนหน้านี้ เคยมีบุตรชายวัย 2 ขวบ กับสามีเก่ามาแล้ว 1 คน ซึ่งหลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมมาขังไว้ในห้องควบคุมผู้ต้องหาแล้ว ก็ได้มีญาติพี่น้อง พร้อมทีมทนายความ นำหลักทรัพย์จำนวน 300,000 บาท มาทำเรื่องขอประกันตัว แต่ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่อนุญาต เพราะยังสอบปากคำไม่เสร็จ
วันนี้ (27 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น.พ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผกก.สน.สุทธิสาร เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.วานนี้ (26 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.สุทธิสาร ได้นำกำลังเข้าไปจับกุมตัว ส.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ดิษเจริญ อายุ 29 ปี ทหารประจำการสังกัด กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ และภรรยา คือ น.ส.เบญญทิพย์ เดโชชัย อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 104 หมู่ 1 ต.บ้านแหลม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาถนนรัชดา เลขที่ 1138-1139/2552 ลงวันที่ 26 เม.ย.52 ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยใช้วัตถุระเบิด” โดยจับกุมตัว ส.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ได้บริเวณด้านหน้ากองร้อย ส่วน น.ส.เบญญทิพย์ ถูกจับกุมได้ที่บ้านพักย่านพระราม 5
การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.อนุพงษ์ ทัศนา พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.สุทธิสาร ได้รับแจ้งว่ามีเหตุเพลิงไหม้รถ เนื่องจากถังแก๊สระเบิด บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 45 ซอยศุภฤกษ์ ถนนลาดพร้าว 48 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม.จึงรุดไปตรวจสอบพบรถเบนซ์ รุ่น C 220 สีดำ หมายเลขทะเบียน 8ษ-8938 กทม. จอดอยู่หน้าบ้านหลังดังกล่าว ในสภาพกระโปรงหลังถูกแรงอัดจนพังยับเยิน ล้อหลังด้านขวาแบน และมีเพลิงลุกไหม้ เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันใช้ถังน้ำยาเคมีเข้าดับไฟ ก่อนทำการตรวจสอบในที่เกิดเหตุพร้อมกองพิสูจน์หลักฐาน
แต่จากผลการตรวจหาหลักฐาน กลับพบว่า มีแผงวงจรภาครับของรถบังคับวิทยุตกอยู่ 1 ชุด พร้อมด้วยสะเก็ดระเบิดชนิดแสวงเครื่อง ซึ่งยังไม่สามารถระบุประเภทได้ตกอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพบเศษอาหารทะเลและผลไม้ ประกอบด้วย ปลาหมึก ปลากะพงขาว กุ้ง สาลี่ ชมพู่ และส้ม กระจัดกระจายอยู่เกลื่อนพื้นถนน และเมื่อทำการรื้อค้นในถังขยะสีฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านที่เกิดเหตุห่างไปประมาณ 6 เมตร ยังพบรีโมตรถบังคับวิทยุเด็กเล่นซึ่งเป็นภาคส่งสัญญาณที่คนร้ายนำมาทิ้งเอาไว้ในลักษณะเปิดส่งสัญญาณอยู่ตลอดเวลาอีก 1 ชิ้น เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมรายละเอียดที่พบไว้เป็นหลักฐาน
จากผลการสอบสวน นางสุดใจ เกษกาญจนานุช อายุ 68 ปี นักธุรกิจบ้านจัดสรรและค้าอัญมณี ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่นั่งอยู่ในรถ เปิดเผยในเบื้องต้นว่า ขณะเกิดเหตุตนพร้อมสามีและคนขับรถ ได้พากันไปทำธุระนอกบ้าน โดยตนนั่งอยู่บริเวณเบาะหลังรถ ส่วนสามี ซึ่งเป็นอดีตปลัดฝ่ายการปกครอง จ.ปราจีนบุรี นั่งอยู่ที่เบาะหน้าคู่กับคนขับ ขณะที่พากันเดินทางกลับโดยรถกำลังจะหยุดจอดที่หน้าบ้านนั้น คนขับได้บีบแตรเรียกคนรับใช้ชื่อ น.ส.อารียา ใจดี อายุ 17 ปี ให้ออกมาเปิดประตูบ้าน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงจากรถ ปรากฏว่า มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากกระโปรงท้าย ตามด้วยเปลวเพลิงลุกขึ้นจำนวนมากส่งผลให้ตัวถังด้านหลังพังยับเยินโชคดีที่คนในรถไม่ได้รับอันตราย แต่ น.ส.อารียา ซึ่งกำลังเดินมาเปิดประตูให้ ได้ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่หน้าอกซ้าย และต้นขาทั้ง 2 ข้าง ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทีแรกคิดว่าเป็นถังแก๊ส LPG ระเบิด ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกลอบสังหาร
ด้าน พ.ต.อ.มานพ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์คำให้การของผู้เสียหาย ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้พากันเดินทางไปพบ น.ส.เบญจทิพย์ ที่บ้านพักย่านพระราม 5 เพื่อทวงหนี้จากการซื้อขายเพชรและหนี้ที่เกิดจากการทำธุรกิจจัดสรรที่ดินร่วมกัน จำนวน 3 ล้านบาทเศษ โดยก่อนหน้านั้น น.ส.เบญจทิพย์ ก็ได้โทรศัพท์มาหาบอกให้ไปเอาอาหารทะเลที่บ้านด้วย แต่จุดที่ต้องสงสัยนั้น คือ เมื่อผู้เสียหายทั้งหมดเดินทางไปถึง น.ส.เบญจทิพย์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านกลับไหว้วานให้คนขับรถไปคอยดูแลลูกชายวัย 2 ขวบของตัวเอง ที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในสระห่างจากบ้านพักประมาณ 30 เมตร และกำชับด้วยว่าให้เปิดฝากระโปรงท้ายรถเอาไว้ โดยอ้างว่าจะนำถุงอาหารมาใส่ให้เพื่อนำกลับที่พัก
พ.ต.อ.มานพ กล่าวอีกว่า เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายคุยธุระกันเสร็จแล้ว ฝ่ายผู้เสียหาย ก็พากันเดินทางกลับ โดยระหว่างที่รถต้องขึ้นลงสะพานก็มักจะได้ยินเสียงของหนักกระแทกกับฝากระโปรงด้านหลังอยู่เป็นระยะ ทีแรกทุกคนบนรถยังคิดว่าเป็นเพราะโช้ครถไม่ดี แต่พอจะจอดรถบริเวณหน้าบ้านกลับมีเสียงระเบิดขึ้น โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก จากนั้นประมาณ 15 นาทีต่อมา น.ส.เบญจทิพย์ ก็ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ โทรเข้าไปหาผู้เสียหายเพื่อสอบถามความเคลื่อนไหว จึงเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย น่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารผู้เสียหายในครั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวนจึงรวบรวมหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับก่อนประสานให้ฝ่ายสืบสวนเดินทางไปจับกุมในทันที
พ.ต.อ.มานพ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาฝ่ายชายยังให้การปฏิเสธ จึงได้ทำเรื่องติดต่อไปยังผู้บังคับบัญชาให้รับทราบแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ทางตำรวจต้องทำอย่างละเอียดอ่อนเพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างสถาบัน ส่วนประเด็นการลอบสังหารขณะนี้มุ่งปมไปที่เรื่องหนี้สินส่วนตัวเพียงเรื่องเดียว ขั้นตอนต่อไปคงจะต้องรีบสืบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งจะต้องรีบไปประสานขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่ต่างๆ ตามเส้นทางก่อนที่จะถึงบ้านของผู้เสียหาย เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงคนร้ายผู้ที่นำรีโมตมาวางไว้ในถังขยะให้สอดคล้องกับวัตถุระเบิดที่ถูกนำมาวางไว้ในกระโปรงหลังรถด้านขวา ส่วนชนิดของระเบิดที่คนร้ายใช้นั้นยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของกองพิสูจน์หลักฐานซึ่งขญะนี้ตนก็ยังไม่สามารถระบุได้
มีรายงานว่า น.ส.เบญจทิพย์ ผู้ต้องหารายนี้ประกอบธุรกิจทำเครื่องเบญจรงค์ เพิ่งจะอยู่กินกับ ส.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ได้เพียง 1 ปีเศษ โดยก่อนหน้านี้ เคยมีบุตรชายวัย 2 ขวบ กับสามีเก่ามาแล้ว 1 คน ซึ่งหลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมมาขังไว้ในห้องควบคุมผู้ต้องหาแล้ว ก็ได้มีญาติพี่น้อง พร้อมทีมทนายความ นำหลักทรัพย์จำนวน 300,000 บาท มาทำเรื่องขอประกันตัว แต่ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่อนุญาต เพราะยังสอบปากคำไม่เสร็จ