ปส.เฉียบโชว์ผลงานทลายเครือข่ายยาบ้า 3 ภาค เหนือ-กลาง-ใต้ ใช้เวลาแกะรอยสืบขยายผลตั้งแต่ปี 51 ไล่จับมาเรื่อย ได้ผู้ต้องหา 10 ราย พร้อมทั้งอายัดทรัพย์สินรวมกว่า 70 ล้านบาท หัวโจกยังลอยนวลหลบหนีอยู่พม่า ประสานขอตัวกลับมาดำเนินคดี เผย เครือข่าย 3 ภาค เคยขนยาเข้ามาขายในพื้นที่ภาคกลาง-ปริมณฑลแล้ว 7 ครั้ง รวม 6,340,000 เม็ด มูลค่ากว่าหนึ่งพันล้านบาท
วันนี้ (24 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น.พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผบช.ปส. พล.ต.ต.อติเทพ ปัญจมานนท์ รอง ผบช.ปส.ร่วมกันแถลงข่าวการขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ หรือเครือข่าย 3 ภาค ประกอบด้วย ผู้ต้องหา 3 ราย คือ นายลภัส หรือ เป้ วงษ์แก้ว อายุ 21 ปี นายวิวัฒน์ หรือ ต๊ะ แพทย์มะลัง อายุ 24 ปี และ น.ส.สุดาวรรณ หรือ ปุ๋ม นุ่มนวลศรี อายุ 25 ปี พร้อมของกลางเป็นสลิปการโอนเงิน 238 ใบ มูลค่า 52 ล้านบาท เงินสด 65,000 บาท รถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ป้ายแดง หมายเลขทะเบียน อ 4187 กทม.และรถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง
พล.ต.อ.จุมพล กล่าวว่า การจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ครั้งนี้ เริ่มจากการขยายผลการจับกุมยาบ้า เมื่อวันที่ 23-24 ส.ค.2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นายอาคม สมบุตร และนายมานพ อินทอง และ นายสมยา สุธรรม พร้อมยาบ้า 1,714,000 เม็ด ในรถบรรทุกข้าวโพดที่แยกสนามบินเชียงราย และสามารถจับกุม นายประสงค์ ศรีคาน และ นางติ๊บ สัจจะ ที่เป็นสามีภรรยากัน ที่บ้านใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย และสามารถขยายผลจนทราบว่า เครือข่ายนี้มีนายมานะ อภิเรืองฤทธิ์ เป็นหัวหน้าเครือข่าย ที่สามารถติดต่อซื้อยาบ้ากับผู้ผลิตทางฝั่งพม่าได้
พล.ต.อ.จุมพล กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่สืบสวน พบอีกว่า นายมานะ จะว่าจ้างนายอาคม มาส่งยาบ้าที่ภาคกลาง โดยพบว่ามีกลุ่มผู้รับยาบ้าครั้งนี้เป็นคน อ.ศรีประจัน จ.สุพรรณบุรี และมีที่พักอยู่ย่าน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยรับยาและไปซุกซ่อนที่บ้านใน ม.บัวทองธานี โดยยาบ้าครั้งนี้มีความเชื่อมโยงกับเครือขาย นายเกษมสันต์ วงษ์แก้ว ซึ่งเคยถูกตำรวจภูธรภาค 1 จับกุมไปก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ ยังพบว่า มีเครือขาย นายโสภณ ฉ่ำดุม เป็นคนจัดการทำธุรกรรมโอนเงินเชื่อมโยงระหว่างผู้ค้ายาทางภาคใต้
“เครือข่ายนี้เจ้าหน้าทีได้สืบสวนทราบว่า ยังมีเครือข่ายทางภาคกลางอยู่อีก จึงได้วางแผนปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่บางบัวทอง จ.นนทบุรี และ สุพรรณบุรี รวม 13 จุด สามารถจับกุม นายลภัส นายวิวัฒน์ และ น.ส.สุดาวรรณ ได้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2551 พร้อมยาไอซ์ 2 กรัม โดยผู้ต้องหาได้ประกันตัวไป แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้เรียกตัวมาสอบปากคำเป็นระยะๆ จนผู้ต้องหาทั้ง 3 ให้การรับสารภาพว่าส่งยามาแล้ว 6 ครั้ง แต่ละครั้งจะมีกลุ่มพ่อค้าทางภาคเหนือมาส่งยาให้ตามจุดนัดหมาย ครั้งละประมาณ 1 ล้านเม็ด ได้ค่าจ้างครั้งละ 5-6 แสนบาท” พล.ต.อ.จุมพล กล่าว
รอง ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า หลังจากผู้ต้องหารับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการขายยาบ้า เจ้าหน้าที่ได้ขออนุมัติหมายจับในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้เชิญตัวมาสอบปากคำ ก่อนจะแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและนำกำลังไปตรวจค้นบ้านพักและยึดทรัพย์สินเพิ่มเติม เป็นสลิปการโอนเงินจำนวน 238 ใบ รวมเป็นเงิน 52 ล้านบาท รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ป้ายแดง ที่ น.ส.สุดาวรรณ เพิ่งซื้อมา
ด้าน พล.ต.ต.อติเทพ กล่าวว่า สำหรับการขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติด 3 ภาคในครั้งนี้ มีนายมานะ เป็นหัวหน้าเครือขาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 10 ราย โดย นายมานะ ที่หลบหนีอยู่ในประเทศพม่าเท่านั้น ขณะนี้ได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศดังกล่าวเพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี และที่ผ่านมาเครือข่ายนี้ ได้ลำเลียงยาบ้าเข้ามาขายในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑลแล้ว 7 ครั้ง เป็นรวม 6,340,000 เม็ด และยาไอซ์ 16 กก.มูลค่ารวมกว่าหนึ่งพันล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์สินที่เตรียมอายัดอีกว่า 60 ล้านบาท หลังอายัดไปแล้ว 10 ล้านบาท
วันนี้ (24 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น.พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผบช.ปส. พล.ต.ต.อติเทพ ปัญจมานนท์ รอง ผบช.ปส.ร่วมกันแถลงข่าวการขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ หรือเครือข่าย 3 ภาค ประกอบด้วย ผู้ต้องหา 3 ราย คือ นายลภัส หรือ เป้ วงษ์แก้ว อายุ 21 ปี นายวิวัฒน์ หรือ ต๊ะ แพทย์มะลัง อายุ 24 ปี และ น.ส.สุดาวรรณ หรือ ปุ๋ม นุ่มนวลศรี อายุ 25 ปี พร้อมของกลางเป็นสลิปการโอนเงิน 238 ใบ มูลค่า 52 ล้านบาท เงินสด 65,000 บาท รถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ป้ายแดง หมายเลขทะเบียน อ 4187 กทม.และรถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง
พล.ต.อ.จุมพล กล่าวว่า การจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ครั้งนี้ เริ่มจากการขยายผลการจับกุมยาบ้า เมื่อวันที่ 23-24 ส.ค.2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นายอาคม สมบุตร และนายมานพ อินทอง และ นายสมยา สุธรรม พร้อมยาบ้า 1,714,000 เม็ด ในรถบรรทุกข้าวโพดที่แยกสนามบินเชียงราย และสามารถจับกุม นายประสงค์ ศรีคาน และ นางติ๊บ สัจจะ ที่เป็นสามีภรรยากัน ที่บ้านใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย และสามารถขยายผลจนทราบว่า เครือข่ายนี้มีนายมานะ อภิเรืองฤทธิ์ เป็นหัวหน้าเครือข่าย ที่สามารถติดต่อซื้อยาบ้ากับผู้ผลิตทางฝั่งพม่าได้
พล.ต.อ.จุมพล กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่สืบสวน พบอีกว่า นายมานะ จะว่าจ้างนายอาคม มาส่งยาบ้าที่ภาคกลาง โดยพบว่ามีกลุ่มผู้รับยาบ้าครั้งนี้เป็นคน อ.ศรีประจัน จ.สุพรรณบุรี และมีที่พักอยู่ย่าน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยรับยาและไปซุกซ่อนที่บ้านใน ม.บัวทองธานี โดยยาบ้าครั้งนี้มีความเชื่อมโยงกับเครือขาย นายเกษมสันต์ วงษ์แก้ว ซึ่งเคยถูกตำรวจภูธรภาค 1 จับกุมไปก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ ยังพบว่า มีเครือขาย นายโสภณ ฉ่ำดุม เป็นคนจัดการทำธุรกรรมโอนเงินเชื่อมโยงระหว่างผู้ค้ายาทางภาคใต้
“เครือข่ายนี้เจ้าหน้าทีได้สืบสวนทราบว่า ยังมีเครือข่ายทางภาคกลางอยู่อีก จึงได้วางแผนปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่บางบัวทอง จ.นนทบุรี และ สุพรรณบุรี รวม 13 จุด สามารถจับกุม นายลภัส นายวิวัฒน์ และ น.ส.สุดาวรรณ ได้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2551 พร้อมยาไอซ์ 2 กรัม โดยผู้ต้องหาได้ประกันตัวไป แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้เรียกตัวมาสอบปากคำเป็นระยะๆ จนผู้ต้องหาทั้ง 3 ให้การรับสารภาพว่าส่งยามาแล้ว 6 ครั้ง แต่ละครั้งจะมีกลุ่มพ่อค้าทางภาคเหนือมาส่งยาให้ตามจุดนัดหมาย ครั้งละประมาณ 1 ล้านเม็ด ได้ค่าจ้างครั้งละ 5-6 แสนบาท” พล.ต.อ.จุมพล กล่าว
รอง ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า หลังจากผู้ต้องหารับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการขายยาบ้า เจ้าหน้าที่ได้ขออนุมัติหมายจับในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้เชิญตัวมาสอบปากคำ ก่อนจะแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและนำกำลังไปตรวจค้นบ้านพักและยึดทรัพย์สินเพิ่มเติม เป็นสลิปการโอนเงินจำนวน 238 ใบ รวมเป็นเงิน 52 ล้านบาท รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ป้ายแดง ที่ น.ส.สุดาวรรณ เพิ่งซื้อมา
ด้าน พล.ต.ต.อติเทพ กล่าวว่า สำหรับการขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติด 3 ภาคในครั้งนี้ มีนายมานะ เป็นหัวหน้าเครือขาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 10 ราย โดย นายมานะ ที่หลบหนีอยู่ในประเทศพม่าเท่านั้น ขณะนี้ได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศดังกล่าวเพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี และที่ผ่านมาเครือข่ายนี้ ได้ลำเลียงยาบ้าเข้ามาขายในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑลแล้ว 7 ครั้ง เป็นรวม 6,340,000 เม็ด และยาไอซ์ 16 กก.มูลค่ารวมกว่าหนึ่งพันล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์สินที่เตรียมอายัดอีกว่า 60 ล้านบาท หลังอายัดไปแล้ว 10 ล้านบาท