xs
xsm
sm
md
lg

ครส.จี้รัฐเร่งสางคดีลอบฆ่า “สนธิ” หวั่นเกิดสงครามเย็น

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ครส.ออกแถลงการณ์ ไล่บี้รัฐบาลเร่งคลี่คลายคดีลอบฆ่า “สนธิ” ชี้ เหตุดังกล่าวสะท้อนมาตรการคุ้มครองพลเมืองด้อยศักยภาพ ในภาวะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศใช้อยู่ หวั่น เป็นชนวนสงครามกลางเมืองเกิดกลียุค ดั่งสงครามเย็น

วันนี้ (17 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ได้ออกแถลงการณ์ กรณีการลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวทางการแก้ปัญหาทางการเมือง

โดยเนื้อหาของแถลงการณ์ ระบุว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง จนมีการออก พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตลอดจนการลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯในเช้าวันนี้ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) มีความเห็นดังนี้

1.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีการลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ โดยเร็วที่สุด เพราะเกิดเหตุในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ที่มีเจ้าหน้าที่ทหารประจำจุดต่างๆ มากมาย แต่ยังเกิดความหละหลวมให้เกิดการลอบสังหารนักเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ ซึ่งสะท้อนความด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาลในการคุ้มครองปกป้องพลเมืองจากวิกฤตการณ์ความขัดแย้ง โดยเฉพาะนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รัฐบาลจะต้องดูแลสวัสดิภาพความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดการคุกคามหรือลอบสังหารอันเป็นยุทธการนอกระบบกฏหมาย กระบวนการยุติธรรมและวิถีทางประชาธิปไตย ซึ่งจะนำมาสู่ความรุนแรงทางการเมืองไม่มีที่สิ้นสุด และอาจขยายตัวเป็นสงครามกลางเมือง หรือการรบแบบจรยุทธ์ดังที่เคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น หรือกรณีประเทศศรีลังกาในปัจจุบันที่มีการระเบิดพลีชีพเอาชีวิตผู้นำทางการเมือง รวมถึงการก่อการร้ายในเมือง หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะมาจากสาเหตุทางการเมือง ซึ่งได้พัฒนาจากการเมืองบนท้องถนนไปสู่สงครามใต้ดินโดยใช้วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งทางอาวุธ และสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว

ดังนั้น คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ขอให้รัฐบาลมีมาตรการคุ้มครองนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างมีรูปธรรม เพื่อไม่ให้เกิดกลียุครอบใหม่ และเร่งแก้ไขการขยายตัวของความขัดแย้งทางการเมืองดังกล่าวโดยจับกุมคนร้ายมาดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้ เพื่อเป็นหลักประกันแก่พลเมือง ไม่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นฝีมือของคนกลุ่มใด สีใด หรือเป็นคนมีสีในรัฐบาลเองหรือไม่ก็ตาม

2.ขอให้รัฐบาลควบคุมการใช้อาวุธ หรือการติดกำลังอาวุธของพลเมือง ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงรอบใหม่ และมีมาตรการที่ชัดเจนในการปกป้องคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชน โดยเฉพาะนักเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มขบวนการต่างๆ ที่เคลื่อนไหวโดยสันติวิธีบนวิถีทางประชาธิปไตย และให้เร่งดำเนินการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วกรุงเทพฯ เพิ่มเติมโดยเร็ว เพื่อควบคุมความรุนแรงที่อาจขยายตัวบานปลาย โดยใช้การแก้ไขโดยเน้นกระบวนการทางกฎหมายจากพยานหลักฐานอย่างเข้มงวดมากขึ้น

3.ขอให้รัฐบาลตั้งกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่ผ่านมา เพื่อความโปร่งใส รวมถึงเยียวยาผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะ โดยไม่เฉพาะจากเหตุการณ์หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น รวมถึงดำเนินการให้มีการตรวจสอบผู้สูญหาย เพื่อไม่ให้เกิดกระบวนการบิดเบือน หรือแสวงหาประโยชน์จากกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ พัฒนาหน่วยงานของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับชุมนุมทางการเมืองให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลที่ดำเนินอยู่ในหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศตะวันตก ซึ่งทหารควรมีไว้เพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอกเท่านั้น แต่การดำเนินการต่อผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงควรจะใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก โดยจะต้องเป็นหน่วยที่จัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษ ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในยุทธวิธีรับมือการจลาจล พร้อมทั้งมีอุปกรณ์ที่ป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสีย เพราะภาพที่ทหารถืออาวุธสงครามออกมา พร้อมรถถังเพื่อเผชิญหน้ากับประชาชนในเหตุก่อการจลาจลตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยและอาจเกิดความเสียหายที่ไม่จำเป็นแก่ประชาชนได้ แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าเนื่องจากกลไกรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ทำงาน (unwilling) หรือ ไม่สามารถ (unable) ปฏิบัติการจนรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ถึงขั้นทำให้สังคมมีความรู้สึกไม่มั่นคงและไม่ปลอดภัยก็ตาม ก็เป็นภาระหน้าที่ที่รัฐบาลควรจะต้องพัฒนาหน่วยงานดังกล่าวขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่ไม่จำเป็นในการระงับเหตุจลาจลโดยกองทัพและทางทหารในอนาคต

4.ขอให้รัฐบาลใช้กระบวนการรัฐสภา ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการปรองดอง(สมานฉันท์) แห่งชาติโดยเร่งด่วน เพื่อพิจารณาปัญหาความขัดแย้งโดยเฉพาะคู่ความขัดแย้งของรัฐ มาเจรจาหาทางออกและหนทางแก้ไขสถานการณ์ โดยเฉพาะร่วมปฏิรูปการเมืองและสังคมให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้งต่อไปในระยะยาว และดูแลให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ไม่ควรดำเนินการให้มีการริดลอนสิทธิเสรีภาพของพลเมืองโดยเฉพาะการปิดกั้นการสื่อสารวิทยุชุมชนต่างๆ ของผู้เห็นต่างจากรัฐอันเป็นหนทางการใช้อำนาจนิยมแก้ไขปัญหาซึ่งรังแต่จะขยายความขัดแย้งไม่สิ้นสุดและไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่มีสาเหตุหลักมาจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รวมถึงการพิจารณา “นักโทษทางการเมือง” กรณีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยให้ได้รับการประกันตัวและสิทธิในการต่อสู้ตามข้อกล่าวหาเป็นรายกรณี โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ตามกฎหมายและวิถีทางในกระบวนการยุติธรรมอย่างสันติต่อไป

17 เมษายน 2552

นายเมธา มาสขาว เลขาธิการ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.)



กำลังโหลดความคิดเห็น