เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในเรื่องต่างๆของ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.นั้น มีข่าวอยู่เพียง 2 บรรทัดที่"เดอะย้อย"พล.ต.ท.วรพงษ์ว่าไว้ ข่าวที่ว่า ก็คือ "ปฏิทินโจร" ที่ทางบช.น.จะจัดทำขึ้น หลังจากที่เมื่อครั้งพล.ต.ท.วรพงษ์ ดำรงตำแหน่งผบช.ภ.7 นั้น ถือว่า ปฏิทินดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยปฏิทินดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนสงกรานต์ ซึ่งผู้ต้องหาอันดับ 1 ที่ได้รับเกียรติให้ลงปฏิทินโจร คือผู้ต้องหาที่ก่อเหตุยิงพ.ต.อ.ประพนธ์ แกลโกศล อดีตรองผบก.น.9 จนเสียชีวิตอย่างเหี้ยมโหด โดยทางบช.น.ตั้งค่าหัวมือลั่นไกไว้ถึง 500,000 บาท
ผู้ต้องหาที่พล.ต.ท.วรพงษ์กล่าวถึงก็คือ นายมนตรี หรืออู๊ด แสนคำ อายุ 40 ปี (พ.ศ.2550) อยู่บ้านเลขที่ 116/73 หมู่ 4 แขวงและเขตบางบอน กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับรวม 6 ข้อหาประกอบด้วย 1.ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2.พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 3.ฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่น 4.มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 5.พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และ 6.ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน
ย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2550 เวลาประมาณ 22.00 น. บริเวณหน้าร้านรุ่งเจริญการไฟฟ้า ตั้งอยู่เลขที่ 43/172-173 ซอยเอกชัย 69 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม. นายมนตรีใช้อาวุธปืน 9 มม. ยิงถล่มใส่พ.ต.อ.ประพนธ์ กับลูกน้องไม่ต่ำกว่า 20 นัด คมกระสุนเจาะเข้าร่างพ.ต.อ.ประพนธ์ถึง 7 นัด เสียชีวิตคาที่ พร้อมลูกน้องคนสนิทอีก 2 นาย รวมเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 3 ศพ และยังมีตำรวจกับประชาชน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2 รายด้วย หนึ่งในนั้นคือ นางศิริพร นุตาดี ซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา
พฤติการณ์แห่งความเหี้ยมโหดของนายมนตรีนั้น นายสุชาติ นุตาดี สามีของนางศิริพร และยังเป็นเพื่อนสนิท และอดีตคู่เขยของนายมนตรี ที่ถูกยิงเข้าที่ขาด้วย 1 นัดได้ให้การไว้ว่า ก่อนเกิดเหตุ พ.ต.อ.ประพนธ์ พร้อมด้วย ด.ต.บรรจง และ พ.ต.ท.ทัศน์พล เดินทางมาที่ร้านรุ่งเจริญการไฟฟ้า เพื่อรับประทานอาหารกับครอบครัวของตนเอง ซึ่งก็คือ นางศิริพร ผู้เป็นภรรยา และนางนิตยา หรือ ติ๊ก แซ่อึ๊ง น้องสาวของภรรยา รวมเป็น 6 คนที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกันในวันนั้น ซึ่งภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นายสุชาติกับนางศิริพร ได้เดินมาส่งนายตำรวจทั้งสามคนที่รถกระบะคันเกิดเหตุ
เมื่อทั้งสามคนขึ้นรถหมดแล้ว มือปืนที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ คือ นายมนตรี หรือ อู๊ด อดีตสามีของนางนิตยา ก็โผล่ออกมา แล้วตรงมาที่รถก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่กระจกรถด้านซ้ายที่ พ.ต.อ.ประพนธ์ นั่งอยู่ด้านหน้าฝั่งซ้าย ซึ่งเมื่อถูกยิง พ.ต.อ.ประพนธ์ กับ ด.ต.บรรจง ก็รีบวิ่งออกหนีมาจากรถ แต่ก็ถูกนายมนตรี กราดยิงใส่จนล้มลง
นายมนตรี ยังวิ่งตามเข้าไปจ่อยิง พ.ต.อ.ประพนธ์ ซ้ำที่ศีรษะจนเสียชีวิต จากนั้นจึงหันมายิงใส่ ด.ต.บรรจง ที่เตรียมวิ่งหลบหนีจนเสียชีวิตตามไปอีกศพ ส่วน พ.ต.ท.ทัศน์พล ที่นั่งอยู่เบาะหลังรถถูกคมกระสุนฟุบลงไปบนเบาะตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้ นายมนตรี มองไม่เห็น ขณะเดียวกัน นายสุชาติ ที่กำลังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็พยายามเข้าไปขัดขวางการกระทำของนายมนตรี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท และอดีตคู่เขย จึงถูกนายมนตรี ยิงใส่ขาจนบาดเจ็บ ส่วนนางศิริพร ภรรยาของนายสุชิต ก็พยายามวิ่งหลบหนีแต่ถูกนายมนตรีไล่ยิงจนเสียชีวิต เป็นคนสุดท้าย ก่อนที่นายมนตรี จะขับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู หมายเลขทะเบียน ฐค-8382 กทม. หลบหนีไปพร้อมอาวุธปืนที่ก่อเหตุ
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ มีเพียร ผบก.น.9 ในขณะนั้น ระบุว่า "จากที่พบรถบีเอ็มของคนร้ายจอดทิ้งไว้ที่ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.นั้น ก็อาจจะมีความเป็นไปได้สูงที่คนร้ายอาจจะลงเรือหนีไป เพราะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนเรือได้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือบางทีอาจจะนานถึง 2 ปีเลยทีเดียว แต่จะอย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าจะไม่มีการทิ้งคดีนี้อย่างเด็ดขาด และจะไม่ยอมให้ รองประพนธ์ ตายฟรีอย่างแน่นอน ต้องจับกุมคนร้านยมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้"
ปัจจุบัน คดีดังกล่าว เกือบเวียนมาบรรจบครบ 2 ปีแล้ว (22 พ.ค.2552) เดิมที หลังเกิดเหตุใหม่ๆ ตำรวจตั้งค่าหัวนายมนตรีไว้ที่ 300,000 บาท ปัจจุบัน ค่าหัวนายมนตรีพุ่งสูงขึ้นถึง 500,000 บาท ซ้ำยังได้รับการบรรจุให้เป็นคนร้ายอันดับที่ 1 ในปฏิทินโจร ตามแนวคิดของผบช.น.คนปัจจุบันด้วย
"รองประพนธ์" หรือพ.ต.อ.ประพนธ์ นั้น มีดีกรีเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 30 (นรต.30) และหลังจากที่รองประพนธ์ถูกสังหารเสียชีวิตไป ปรากฏว่า ผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หรือผบช.น.นั้น 2 คน เป็นนรต. 30 รุ่นเดียวกับรองประพนธ์ โดยคนแรกคือ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผบ.ตร. ที่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผบช.น. ยังไม่สามารถปิดคดีนี้ได้ มาบัดนี้ เป็นยุคของ"เดอะย้อย" พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นเพื่อนนรต.30 ของรองประพนธ์เช่นเดียวกัน จะสามารถพิสูจน์ฝีมือ จับกุมนายมนตรี คนร้ายรายนี้ มาดำเนินคดีได้หรือไม่ และ"ปฏิทินโจร"ที่ทางบช.น.บรรจงผลิตออกมา จะสามารถช่วยลากคอคนร้ายรายนี้ มาเซ่นวิญญาณ"รองประพนธ์"ได้หรือไม่ เรื่องนี้ ยังคงเป็นเรื่องที่น่าติดตาม....




ผู้ต้องหาที่พล.ต.ท.วรพงษ์กล่าวถึงก็คือ นายมนตรี หรืออู๊ด แสนคำ อายุ 40 ปี (พ.ศ.2550) อยู่บ้านเลขที่ 116/73 หมู่ 4 แขวงและเขตบางบอน กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับรวม 6 ข้อหาประกอบด้วย 1.ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2.พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 3.ฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่น 4.มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 5.พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และ 6.ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน
ย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2550 เวลาประมาณ 22.00 น. บริเวณหน้าร้านรุ่งเจริญการไฟฟ้า ตั้งอยู่เลขที่ 43/172-173 ซอยเอกชัย 69 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม. นายมนตรีใช้อาวุธปืน 9 มม. ยิงถล่มใส่พ.ต.อ.ประพนธ์ กับลูกน้องไม่ต่ำกว่า 20 นัด คมกระสุนเจาะเข้าร่างพ.ต.อ.ประพนธ์ถึง 7 นัด เสียชีวิตคาที่ พร้อมลูกน้องคนสนิทอีก 2 นาย รวมเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 3 ศพ และยังมีตำรวจกับประชาชน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2 รายด้วย หนึ่งในนั้นคือ นางศิริพร นุตาดี ซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา
พฤติการณ์แห่งความเหี้ยมโหดของนายมนตรีนั้น นายสุชาติ นุตาดี สามีของนางศิริพร และยังเป็นเพื่อนสนิท และอดีตคู่เขยของนายมนตรี ที่ถูกยิงเข้าที่ขาด้วย 1 นัดได้ให้การไว้ว่า ก่อนเกิดเหตุ พ.ต.อ.ประพนธ์ พร้อมด้วย ด.ต.บรรจง และ พ.ต.ท.ทัศน์พล เดินทางมาที่ร้านรุ่งเจริญการไฟฟ้า เพื่อรับประทานอาหารกับครอบครัวของตนเอง ซึ่งก็คือ นางศิริพร ผู้เป็นภรรยา และนางนิตยา หรือ ติ๊ก แซ่อึ๊ง น้องสาวของภรรยา รวมเป็น 6 คนที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกันในวันนั้น ซึ่งภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นายสุชาติกับนางศิริพร ได้เดินมาส่งนายตำรวจทั้งสามคนที่รถกระบะคันเกิดเหตุ
เมื่อทั้งสามคนขึ้นรถหมดแล้ว มือปืนที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ คือ นายมนตรี หรือ อู๊ด อดีตสามีของนางนิตยา ก็โผล่ออกมา แล้วตรงมาที่รถก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่กระจกรถด้านซ้ายที่ พ.ต.อ.ประพนธ์ นั่งอยู่ด้านหน้าฝั่งซ้าย ซึ่งเมื่อถูกยิง พ.ต.อ.ประพนธ์ กับ ด.ต.บรรจง ก็รีบวิ่งออกหนีมาจากรถ แต่ก็ถูกนายมนตรี กราดยิงใส่จนล้มลง
นายมนตรี ยังวิ่งตามเข้าไปจ่อยิง พ.ต.อ.ประพนธ์ ซ้ำที่ศีรษะจนเสียชีวิต จากนั้นจึงหันมายิงใส่ ด.ต.บรรจง ที่เตรียมวิ่งหลบหนีจนเสียชีวิตตามไปอีกศพ ส่วน พ.ต.ท.ทัศน์พล ที่นั่งอยู่เบาะหลังรถถูกคมกระสุนฟุบลงไปบนเบาะตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้ นายมนตรี มองไม่เห็น ขณะเดียวกัน นายสุชาติ ที่กำลังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็พยายามเข้าไปขัดขวางการกระทำของนายมนตรี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท และอดีตคู่เขย จึงถูกนายมนตรี ยิงใส่ขาจนบาดเจ็บ ส่วนนางศิริพร ภรรยาของนายสุชิต ก็พยายามวิ่งหลบหนีแต่ถูกนายมนตรีไล่ยิงจนเสียชีวิต เป็นคนสุดท้าย ก่อนที่นายมนตรี จะขับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู หมายเลขทะเบียน ฐค-8382 กทม. หลบหนีไปพร้อมอาวุธปืนที่ก่อเหตุ
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ มีเพียร ผบก.น.9 ในขณะนั้น ระบุว่า "จากที่พบรถบีเอ็มของคนร้ายจอดทิ้งไว้ที่ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.นั้น ก็อาจจะมีความเป็นไปได้สูงที่คนร้ายอาจจะลงเรือหนีไป เพราะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนเรือได้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือบางทีอาจจะนานถึง 2 ปีเลยทีเดียว แต่จะอย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าจะไม่มีการทิ้งคดีนี้อย่างเด็ดขาด และจะไม่ยอมให้ รองประพนธ์ ตายฟรีอย่างแน่นอน ต้องจับกุมคนร้านยมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้"
ปัจจุบัน คดีดังกล่าว เกือบเวียนมาบรรจบครบ 2 ปีแล้ว (22 พ.ค.2552) เดิมที หลังเกิดเหตุใหม่ๆ ตำรวจตั้งค่าหัวนายมนตรีไว้ที่ 300,000 บาท ปัจจุบัน ค่าหัวนายมนตรีพุ่งสูงขึ้นถึง 500,000 บาท ซ้ำยังได้รับการบรรจุให้เป็นคนร้ายอันดับที่ 1 ในปฏิทินโจร ตามแนวคิดของผบช.น.คนปัจจุบันด้วย
"รองประพนธ์" หรือพ.ต.อ.ประพนธ์ นั้น มีดีกรีเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 30 (นรต.30) และหลังจากที่รองประพนธ์ถูกสังหารเสียชีวิตไป ปรากฏว่า ผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หรือผบช.น.นั้น 2 คน เป็นนรต. 30 รุ่นเดียวกับรองประพนธ์ โดยคนแรกคือ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผบ.ตร. ที่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผบช.น. ยังไม่สามารถปิดคดีนี้ได้ มาบัดนี้ เป็นยุคของ"เดอะย้อย" พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นเพื่อนนรต.30 ของรองประพนธ์เช่นเดียวกัน จะสามารถพิสูจน์ฝีมือ จับกุมนายมนตรี คนร้ายรายนี้ มาดำเนินคดีได้หรือไม่ และ"ปฏิทินโจร"ที่ทางบช.น.บรรจงผลิตออกมา จะสามารถช่วยลากคอคนร้ายรายนี้ มาเซ่นวิญญาณ"รองประพนธ์"ได้หรือไม่ เรื่องนี้ ยังคงเป็นเรื่องที่น่าติดตาม....