ผู้การกองปราบปราม นำตัวลูกสาว “แป๋ง อังกินันท์” มาแถลงข่าวพร้อมสามี โดยมูลค่าความเสียหายจากการฉ้อโกงธุรกิจน้ำมันมากถึง 8,000 ล้านบาท เผยตำรวจกองปราบเกาะติดตามคดีมารวม 5 ปี ตั้งแต่ผู้การยังเป็นผู้กำกับ จนสามารถรวบรวมหลักฐานได้แน่ชัด และมั่นใจว่าผู้ต้องหาสวมศพเหยื่อสึนามิ แถมทายาทยังไปเรียกร้องเอาเงินประกันจากบริษัทอีกกว่า 2 ล้านบาท พร้อมเตรียมขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการสวมศพ ปลอมบัตร ด้านเจ้าทุกข์โผล่ยืนยันแล้ว 5 ราย รับเคยอโหสิให้เพราะนึกว่าตายจริง
วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบก.ป.แถลงการจับกุมนางกันต์กนิษฐ์ หรือปานจิต อังกินันท์ หรือชิ้นศิริ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 218 ซอยริมน้ำ ถนนพานิชเจริญ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี บุตรสาวของนายปิยะ อังกินันท์ อดีต ส.ส.เพชรบุรี หลายสมัยและผู้กว้างขวางของ จ.เพชรบุรี ซึ่งถูกตำรวจกองปราบปรามนำโดยพ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 บก.ป.พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.ช่วยราชการ บก.ป. พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล พ.ต.ท.สิทธิเกียรติ ศรีจันทร์ สว.กก.5 บก.ป. ประสานกับพ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ต.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน สว.กก.1 บก.ป ทำการจับกุมตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่ จ 569/2548 ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2548 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ได้ที่บริเวณจุดกลับรถถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ใกล้กับซอยนราธิวาสฯ 14 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม. นอกจากนี้ กำลังชุดเดียวกันยังได้จับกุมนายชาญชัย ชิ้นศิริ อายุ 47 ปี สามีของนางกันต์กนิษฐ์ ได้ที่บ้านเลขที่ 259/1 ซอยศรีนคร ถนนนางลิ้นจี่ แขวงช่องนนทรี เขตยานาวา กทม. ก่อนจะควบคุมตัวมาสอบสวนที่กองปราบปราม
การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2548 นายเพิ่มเกียรติ โพธิเพียรทอง ผู้แทนบริษัท โชคชัยมหาชัย จำกัด เจ้าหนี้รายหนึ่งของนางกันต์กนิษฐ์ ได้เข้าร้องเรียนกับพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบการเสียชีวิตของนางกันต์กนิษฐ์ที่ได้แจ้งเสียชีวิตจากเหตุภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิที่พัดเข้าถล่มในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันทางภาคใต้หลายจังหวัด โดยสงสัยว่านางกันต์กนิษฐ์อาจยังไม่เสียชีวิต แต่ที่มีการแจ้งตายก็เพื่อเป็นการจัดฉาก เพื่อต้องการหลบหนีคดีต่างๆ เพราะนางกันต์กนิษฐ์ และนายชาญชัย ที่ร่วมกันทำธุรกิจเปิดบริษัทค้าน้ำมันชื่อว่า “ปานทรัพย์เอเวอร์กรีน จำกัด” ได้มีการทำธุรกิจติดต่อซื้อขายน้ำมันกับหลายบริษัท จนทำให้มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก โดยทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองถูกศาลสั่งฟ้องล้มละลายไปเมื่อปี 2547 ทำให้ทั้งสองมีคดีติดตัวอยู่ถึง 63 คดี รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 8,000 ล้านบาท
ต่อมาชุดสืบสวนของ กก.5 บก.ป.ได้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทั้งยังมีการสืบสวนในทางลับ ทำให้พบข้อพิรุธอีกหลายอย่าง เช่น ในเรื่องหลักฐานการแจ้งตาย การปลอมบัตรประชาชนเป็นผู้อื่น การเปลี่ยนสถานที่อยู่อาศัย เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่น โดยการตรวจสอบเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2547 หลังเหตุสึนามิ นายชาญชัย สามีของผู้ตายได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง ว่ามีพลเมืองดีแจ้งว่าพบศพนางกันต์กนิษฐ์ลอยอยู่ในทะเลพื้นที่หมู่ 1 ต.เกาะพยาม อ.เมืองระนอง เบื้องต้นพบหลักฐานเป็นบัตรประจำตัวประชาชนของภรรยาและบัตรเครดิต แต่ไม่พบหลักฐานอื่นใด ต่อมาจึงมีการแจ้งตาย และทางเจ้าหน้าที่ได้ออกใบมรณบัตรเลขที่ 9/2548 ให้ หลังจากนั้นนายชาญชัยได้ขอรับศพดังกล่าวไปบำเพ็ญกุศลที่วัดสุวรรณคีรีวิหาร ต.เขานิเวศน์ อ.เมืองระนอง และทำพิธีฌาปนกิจที่วัดดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2548 ซึ่งหลังการเสียชีวิตยังทราบว่า ทายาทของนางกันต์กนิษฐ์ยังได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัท ไทยประกันชีวิต จำนวน 9 แสนบาท บริษัท เอไอเอ อีก 1.2 ล้านบาทด้วย
พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์แถลงต่อว่า นอกจากนี้ จากการสืบสวนตามฐานข้อมูลลายนิ้วมือทางทะเบียนราษฎร์ที่นางกันต์กนิษฐ์ทำไว้ทั้งหมด โดยได้หาหลักฐานจากลายพิมพ์นิ้วมือพบว่า เดิมผู้ต้องหาได้ใช้ชื่อว่านางปานจิตร และไปขอทำบัตรประชาชนใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นนางกันต์กนิษฐ์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2547 ที่เขตบางพลัด ซึ่งการทำบัตรใหม่ ทางผู้ทำต้องพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือเอาไว้ เจ้าหน้าที่จึงได้นำเอาลายพิมพ์นิ้วมือ พร้อมตัวเลข 13 หลัก มาเปรียบเทียบ ก่อนพบว่าเมื่อประมาณวันที่ 25 มิ.ย.2548 ที่เทศบาลบางกรวย จ.นนทบุรี ได้มีผู้ไปขอทำบัตรใหม่ในชื่อของ น.ส.พะเยาว์ ปานหว่าง อยู่บ้านเลขที่ 114/191 ม.10 ต.วัดชะลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ที่มายื่นขอทำบัตรดังกล่าวมีหลักฐานไปตรงกันกลับบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อเหตุการณ์สึนามิก็คือนางกันต์กนิษฐ์ เจ้าหน้าที่จึงไม่อนุญาต แต่เจ้าหน้าที่ของอำเภอก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทางกฎหมาย ภายหลังนางกันต์กนิษฐ์ได้นำหลักฐานในนามของ น.ส.พะเยาว์ ไปยื่นขอทำบัตรประชาชนที่จังหวัดสุพรรณบุรีแทน โดยรูปถ่ายในบัตรประชาชนดังกล่าวของนางกันต์กนิษฐ์ นั้นมีการทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าใหม่ เช่น ลบรอยปานดำที่แก้มซ้ายออกจากใบหน้า ตบแต่งริมฝีปากบน และจมูก แต่หลักฐานลายพิมพ์นิ้วมือก็ยังยืนยันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน
“หลังจากนั้นชุดสืบสวนจึงประสานไปยังเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านลายพิมพ์นิ้วมือ สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ ที่ร่วมตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 5 ปี แม้ทางผู้ต้องหาและผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือจะพยายามทำลายหลักฐานต่างๆ ที่สามารถยืนยันตัวบุคคลของนางกันต์กนิษฐ์ในหลากหลายรูปแบบก็ตาม” พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์กล่าว
ผบก.ป.กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเมื่อชุดสืบสวนได้รวบรวมข้อมูลจนไปพบว่า ปัจจุบันนางกันต์กนิษฐ์ได้พักอาศัยอยู่กับสามี คือ นายชาญชัย ที่บ้านเลขที่ 256/1 ซอยศรีนคร แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. และได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว จนเมื่อเวลา 09.00 น.ในวันเดียวกัน เมื่อนางกันต์กนิษฐ์ขับรถเก๋งโตโยต้ายาริส สีดำ ทะเบียนป้ายแดง ษ 8970 กทม. ออกมาทำธุระบริเวณใกล้กับซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 14 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กทม. จึงได้เข้าจับกุมและนำตัวมาสอบสวนที่ บก.ป. เบื้องต้นนางกันต์กนิษฐ์ยอมรัมว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน ส่วนนายชาญชัยให้การว่าขณะเกิดเหตุสึนามินั้นทาง ภรรยาได้เดินทางไปเที่ยวที่ จ.ระนองจริง เมื่อมีผู้มาแจ้งว่าพบผู้เสียชีวิต ซึ่งมีบัตรของภรรยาตนก็เลยรีบเดินทางไปรับศพมาทำพิธีทางศาสนา แต่เนื่องจากด้วยขณะนั้นตนเองก็มีคดีติดตัวเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ไม่กล้าที่จะตรวจสอบหลักฐาน หรือพิสูจน์สัญญลักษณ์อะไรได้มาก ภายหลังเมื่อทำพิธีเผาไปแล้วได้ไม่นาน เมื่อภรรยาของตนกลับมาบ้านก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย เนื่องจากตนไม่กล้าไปพบตำรวจ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นตนไม่ขอพูดอะไร
ด้าน พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่าคดีนี้ ผู้ต้องหาว่ามีคดีติดตัวร่วมกับสามีนับสิบหมาย ร่วมมูลค่าความเสียหายกว่าหลายพันล้านบาท เมื่อเกิดเหตุสึนามิ นายชาญชัยก็ได้ไปแจ้งว่าภรรยาของตนเองเสียชีวิต ทราบด้วยว่าเมื่อต้นปี 2548 นางกันต์กนิษฐ์ ได้เดินทางไปประเทศจีน เพื่อทำศัลกรรมใบหน้า โดยเฉพาะการลบปานดำบนใบหน้า ซึ่งเป็นจุดเด่น เสร็จแล้วก็เดินทางกลับประเทศไทย จากนั้นก็ไปทำการสวมบัตรประชาชนเป็นบุคคลอื่น โดยคดีนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ยังดำรงตำแหน่ง ผกก.ปพ. จนเมื่อมาดำรงตำแหน่ง ผบก.ป. จึงได้สั่งการให้สืบสวนต่อ จนสามารถตามจับกุมได้ดังกล่าว
พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ภายหลังการจับกุมแล้วเราได้ไปตรวจค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านพักของผู้ต้องหา ซึ่งสามารถยึดเอกสารสำคัญที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับคดีเช่นใบมรณะบัตร เอกสารการยื่นเรื่องขอรับเงินประกัน นอกจากนี้ยังพบบัตรข้าราชการปลอมอีกหลายใบ โดยเฉพาะนายชาญชัยที่เปลี่ยนชื่อเป็นนายสมพร มาลา ที่ยังพบบัตรเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ปลอม อีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังพบอาวุธปืนอีก 2 กระบอก และทรัพย์สินมีค่า เช่น สร้อยคอทองคำ แหวนเพชร นาฬิกา เบื้องต้นก็ได้ให้ลงบันทึกหลักฐานไว้โดยละเอียด เพื่อได้ตรวจสอบต่อไปว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการทำผิดหรือไม่ ส่วนเรื่องการดำเนินคดีก็ต้องส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปให้พนักงานสอบสวนของ สภ.เมืองสมุทรสาคร ที่ทั้งสองมีหมายจับกุมติดตัวอยู่
“ส่วนกองปราบฯ ก็จะสืบสวนเพื่อขยายผลการดำเนินคดี เพื่อตรวจสอบต่อไปว่าคดีดีนี้ มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาอีกบ้าง เช่น เรื่องการทำบัตรประชนใหม่ การแจ้งเปลี่ยนชื่อ” พ.ต.อ.กิตติศักดิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังการจับกุมก็ได้มีผู้เสียหายจำนวน 5 รายได้เข้าชี้ตัวผู้ต้องได้อย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่ก็จะเคยทำธุรกิจน้ำมันร่วมกับผู้ต้องหา บางรายก็ไม่ได้มีการแจ้งความไว้ เนื่องจากเชื่อว่าผู้ต้องหาได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงอโหสิกรรมและยกหนี้ให้กับผู้ตาย ส่วนนายชาญชัยนั้น เคยมีประวัติเข้าไปพัวพันกับคดีร่วมกันจ้างว่าฆ่านางศยามล ลาภก่อเกียรติ อีกด้วย แต่ภายหลังศาลได้ยกฟ้องในคดีดังกล่าวไป
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับกรณีการตายของนางกันต์กนิษฐ์ ที่มีความผิดพลาดโดยไม่ได้มีการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.เมืองระนอง ชี้แจงว่า เรื่องการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลนั้นจะเป็นหน้าที่ของตำรวจเจ้าของพื้นที่ที่พบศพ ซึ่งทราบว่ามีการพบศพดังกล่าวที่ในพื้นที่ของ สภ.กะเปอร์ แต่ภายหลังมีการส่งศพมาที่ สภ.เมืองระนอง เจ้าหน้าที่ก็เลยคาดว่ามีการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลมาแล้วจึงไม่ได้มีการตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียด
จับลูกสาว “แป๋ง อังกินันท์” สวมศพสึนามิแปลงโฉมหนีหนี้ 3,000 ล้าน!
วันนี้ (26 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบก.ป.แถลงการจับกุมนางกันต์กนิษฐ์ หรือปานจิต อังกินันท์ หรือชิ้นศิริ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 218 ซอยริมน้ำ ถนนพานิชเจริญ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี บุตรสาวของนายปิยะ อังกินันท์ อดีต ส.ส.เพชรบุรี หลายสมัยและผู้กว้างขวางของ จ.เพชรบุรี ซึ่งถูกตำรวจกองปราบปรามนำโดยพ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 บก.ป.พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.ช่วยราชการ บก.ป. พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล พ.ต.ท.สิทธิเกียรติ ศรีจันทร์ สว.กก.5 บก.ป. ประสานกับพ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ต.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน สว.กก.1 บก.ป ทำการจับกุมตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่ จ 569/2548 ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2548 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ได้ที่บริเวณจุดกลับรถถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ใกล้กับซอยนราธิวาสฯ 14 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม. นอกจากนี้ กำลังชุดเดียวกันยังได้จับกุมนายชาญชัย ชิ้นศิริ อายุ 47 ปี สามีของนางกันต์กนิษฐ์ ได้ที่บ้านเลขที่ 259/1 ซอยศรีนคร ถนนนางลิ้นจี่ แขวงช่องนนทรี เขตยานาวา กทม. ก่อนจะควบคุมตัวมาสอบสวนที่กองปราบปราม
การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2548 นายเพิ่มเกียรติ โพธิเพียรทอง ผู้แทนบริษัท โชคชัยมหาชัย จำกัด เจ้าหนี้รายหนึ่งของนางกันต์กนิษฐ์ ได้เข้าร้องเรียนกับพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบการเสียชีวิตของนางกันต์กนิษฐ์ที่ได้แจ้งเสียชีวิตจากเหตุภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิที่พัดเข้าถล่มในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันทางภาคใต้หลายจังหวัด โดยสงสัยว่านางกันต์กนิษฐ์อาจยังไม่เสียชีวิต แต่ที่มีการแจ้งตายก็เพื่อเป็นการจัดฉาก เพื่อต้องการหลบหนีคดีต่างๆ เพราะนางกันต์กนิษฐ์ และนายชาญชัย ที่ร่วมกันทำธุรกิจเปิดบริษัทค้าน้ำมันชื่อว่า “ปานทรัพย์เอเวอร์กรีน จำกัด” ได้มีการทำธุรกิจติดต่อซื้อขายน้ำมันกับหลายบริษัท จนทำให้มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก โดยทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองถูกศาลสั่งฟ้องล้มละลายไปเมื่อปี 2547 ทำให้ทั้งสองมีคดีติดตัวอยู่ถึง 63 คดี รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 8,000 ล้านบาท
ต่อมาชุดสืบสวนของ กก.5 บก.ป.ได้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทั้งยังมีการสืบสวนในทางลับ ทำให้พบข้อพิรุธอีกหลายอย่าง เช่น ในเรื่องหลักฐานการแจ้งตาย การปลอมบัตรประชาชนเป็นผู้อื่น การเปลี่ยนสถานที่อยู่อาศัย เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่น โดยการตรวจสอบเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2547 หลังเหตุสึนามิ นายชาญชัย สามีของผู้ตายได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง ว่ามีพลเมืองดีแจ้งว่าพบศพนางกันต์กนิษฐ์ลอยอยู่ในทะเลพื้นที่หมู่ 1 ต.เกาะพยาม อ.เมืองระนอง เบื้องต้นพบหลักฐานเป็นบัตรประจำตัวประชาชนของภรรยาและบัตรเครดิต แต่ไม่พบหลักฐานอื่นใด ต่อมาจึงมีการแจ้งตาย และทางเจ้าหน้าที่ได้ออกใบมรณบัตรเลขที่ 9/2548 ให้ หลังจากนั้นนายชาญชัยได้ขอรับศพดังกล่าวไปบำเพ็ญกุศลที่วัดสุวรรณคีรีวิหาร ต.เขานิเวศน์ อ.เมืองระนอง และทำพิธีฌาปนกิจที่วัดดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2548 ซึ่งหลังการเสียชีวิตยังทราบว่า ทายาทของนางกันต์กนิษฐ์ยังได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัท ไทยประกันชีวิต จำนวน 9 แสนบาท บริษัท เอไอเอ อีก 1.2 ล้านบาทด้วย
พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์แถลงต่อว่า นอกจากนี้ จากการสืบสวนตามฐานข้อมูลลายนิ้วมือทางทะเบียนราษฎร์ที่นางกันต์กนิษฐ์ทำไว้ทั้งหมด โดยได้หาหลักฐานจากลายพิมพ์นิ้วมือพบว่า เดิมผู้ต้องหาได้ใช้ชื่อว่านางปานจิตร และไปขอทำบัตรประชาชนใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นนางกันต์กนิษฐ์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2547 ที่เขตบางพลัด ซึ่งการทำบัตรใหม่ ทางผู้ทำต้องพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือเอาไว้ เจ้าหน้าที่จึงได้นำเอาลายพิมพ์นิ้วมือ พร้อมตัวเลข 13 หลัก มาเปรียบเทียบ ก่อนพบว่าเมื่อประมาณวันที่ 25 มิ.ย.2548 ที่เทศบาลบางกรวย จ.นนทบุรี ได้มีผู้ไปขอทำบัตรใหม่ในชื่อของ น.ส.พะเยาว์ ปานหว่าง อยู่บ้านเลขที่ 114/191 ม.10 ต.วัดชะลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ที่มายื่นขอทำบัตรดังกล่าวมีหลักฐานไปตรงกันกลับบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อเหตุการณ์สึนามิก็คือนางกันต์กนิษฐ์ เจ้าหน้าที่จึงไม่อนุญาต แต่เจ้าหน้าที่ของอำเภอก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทางกฎหมาย ภายหลังนางกันต์กนิษฐ์ได้นำหลักฐานในนามของ น.ส.พะเยาว์ ไปยื่นขอทำบัตรประชาชนที่จังหวัดสุพรรณบุรีแทน โดยรูปถ่ายในบัตรประชาชนดังกล่าวของนางกันต์กนิษฐ์ นั้นมีการทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าใหม่ เช่น ลบรอยปานดำที่แก้มซ้ายออกจากใบหน้า ตบแต่งริมฝีปากบน และจมูก แต่หลักฐานลายพิมพ์นิ้วมือก็ยังยืนยันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน
“หลังจากนั้นชุดสืบสวนจึงประสานไปยังเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านลายพิมพ์นิ้วมือ สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ ที่ร่วมตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 5 ปี แม้ทางผู้ต้องหาและผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือจะพยายามทำลายหลักฐานต่างๆ ที่สามารถยืนยันตัวบุคคลของนางกันต์กนิษฐ์ในหลากหลายรูปแบบก็ตาม” พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์กล่าว
ผบก.ป.กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเมื่อชุดสืบสวนได้รวบรวมข้อมูลจนไปพบว่า ปัจจุบันนางกันต์กนิษฐ์ได้พักอาศัยอยู่กับสามี คือ นายชาญชัย ที่บ้านเลขที่ 256/1 ซอยศรีนคร แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. และได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว จนเมื่อเวลา 09.00 น.ในวันเดียวกัน เมื่อนางกันต์กนิษฐ์ขับรถเก๋งโตโยต้ายาริส สีดำ ทะเบียนป้ายแดง ษ 8970 กทม. ออกมาทำธุระบริเวณใกล้กับซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 14 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กทม. จึงได้เข้าจับกุมและนำตัวมาสอบสวนที่ บก.ป. เบื้องต้นนางกันต์กนิษฐ์ยอมรัมว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน ส่วนนายชาญชัยให้การว่าขณะเกิดเหตุสึนามินั้นทาง ภรรยาได้เดินทางไปเที่ยวที่ จ.ระนองจริง เมื่อมีผู้มาแจ้งว่าพบผู้เสียชีวิต ซึ่งมีบัตรของภรรยาตนก็เลยรีบเดินทางไปรับศพมาทำพิธีทางศาสนา แต่เนื่องจากด้วยขณะนั้นตนเองก็มีคดีติดตัวเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ไม่กล้าที่จะตรวจสอบหลักฐาน หรือพิสูจน์สัญญลักษณ์อะไรได้มาก ภายหลังเมื่อทำพิธีเผาไปแล้วได้ไม่นาน เมื่อภรรยาของตนกลับมาบ้านก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย เนื่องจากตนไม่กล้าไปพบตำรวจ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นตนไม่ขอพูดอะไร
ด้าน พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่าคดีนี้ ผู้ต้องหาว่ามีคดีติดตัวร่วมกับสามีนับสิบหมาย ร่วมมูลค่าความเสียหายกว่าหลายพันล้านบาท เมื่อเกิดเหตุสึนามิ นายชาญชัยก็ได้ไปแจ้งว่าภรรยาของตนเองเสียชีวิต ทราบด้วยว่าเมื่อต้นปี 2548 นางกันต์กนิษฐ์ ได้เดินทางไปประเทศจีน เพื่อทำศัลกรรมใบหน้า โดยเฉพาะการลบปานดำบนใบหน้า ซึ่งเป็นจุดเด่น เสร็จแล้วก็เดินทางกลับประเทศไทย จากนั้นก็ไปทำการสวมบัตรประชาชนเป็นบุคคลอื่น โดยคดีนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ยังดำรงตำแหน่ง ผกก.ปพ. จนเมื่อมาดำรงตำแหน่ง ผบก.ป. จึงได้สั่งการให้สืบสวนต่อ จนสามารถตามจับกุมได้ดังกล่าว
พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ภายหลังการจับกุมแล้วเราได้ไปตรวจค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านพักของผู้ต้องหา ซึ่งสามารถยึดเอกสารสำคัญที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับคดีเช่นใบมรณะบัตร เอกสารการยื่นเรื่องขอรับเงินประกัน นอกจากนี้ยังพบบัตรข้าราชการปลอมอีกหลายใบ โดยเฉพาะนายชาญชัยที่เปลี่ยนชื่อเป็นนายสมพร มาลา ที่ยังพบบัตรเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ปลอม อีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังพบอาวุธปืนอีก 2 กระบอก และทรัพย์สินมีค่า เช่น สร้อยคอทองคำ แหวนเพชร นาฬิกา เบื้องต้นก็ได้ให้ลงบันทึกหลักฐานไว้โดยละเอียด เพื่อได้ตรวจสอบต่อไปว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการทำผิดหรือไม่ ส่วนเรื่องการดำเนินคดีก็ต้องส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปให้พนักงานสอบสวนของ สภ.เมืองสมุทรสาคร ที่ทั้งสองมีหมายจับกุมติดตัวอยู่
“ส่วนกองปราบฯ ก็จะสืบสวนเพื่อขยายผลการดำเนินคดี เพื่อตรวจสอบต่อไปว่าคดีดีนี้ มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาอีกบ้าง เช่น เรื่องการทำบัตรประชนใหม่ การแจ้งเปลี่ยนชื่อ” พ.ต.อ.กิตติศักดิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังการจับกุมก็ได้มีผู้เสียหายจำนวน 5 รายได้เข้าชี้ตัวผู้ต้องได้อย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่ก็จะเคยทำธุรกิจน้ำมันร่วมกับผู้ต้องหา บางรายก็ไม่ได้มีการแจ้งความไว้ เนื่องจากเชื่อว่าผู้ต้องหาได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงอโหสิกรรมและยกหนี้ให้กับผู้ตาย ส่วนนายชาญชัยนั้น เคยมีประวัติเข้าไปพัวพันกับคดีร่วมกันจ้างว่าฆ่านางศยามล ลาภก่อเกียรติ อีกด้วย แต่ภายหลังศาลได้ยกฟ้องในคดีดังกล่าวไป
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับกรณีการตายของนางกันต์กนิษฐ์ ที่มีความผิดพลาดโดยไม่ได้มีการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.เมืองระนอง ชี้แจงว่า เรื่องการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลนั้นจะเป็นหน้าที่ของตำรวจเจ้าของพื้นที่ที่พบศพ ซึ่งทราบว่ามีการพบศพดังกล่าวที่ในพื้นที่ของ สภ.กะเปอร์ แต่ภายหลังมีการส่งศพมาที่ สภ.เมืองระนอง เจ้าหน้าที่ก็เลยคาดว่ามีการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลมาแล้วจึงไม่ได้มีการตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียด
จับลูกสาว “แป๋ง อังกินันท์” สวมศพสึนามิแปลงโฉมหนีหนี้ 3,000 ล้าน!