สลด! เกิดเหตุอาคารก่อสร้างย่านซอยศรีบุญเรือง 1-2 ใจกลางเมืองปากน้ำ พังลถ่มทับคนงาน-เด็กติดอยู่ใต้ซากอาคาร ระดมเจ้าหน้าที่ เครื่องมือตัดถ่างเข้าช่วยจ้าละหวั่น มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บกว่า 20 ราย ลำเลียงส่งโรงพยาบาล พร้อมค้นหาผู้ที่ยังติดอยู่อย่างเร่งด่วน พบเหล็กในเสาคานรับน้ำหนักปูนไม่ไหวหักตัวลงมา คาดเหตุจากก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน
วันนี้ (22 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.ธนินท์รัฐ วิชทิพยนานนท์ สารวัตรเวร สภ.สำโรงเหนือ ได้รับแจ้งมีเหตุตึกถล่ม และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชาทราบพร้อมประสานงานเจ้าหน้าที่มูลนิธิรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุอยู่ระหว่างซอยศรีบุญเรือง 1 และ 2 เข้าไปจากปากซอยประมาณ 500 เมตร พบอาคารอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เป็นอาคารกว้าง 19.20 เมตร ยาว 35.5 เมตร โดยคานปูนที่กำลังก่อสร้างบริเวณชั้นที่ 3 เกิดพังลงมาทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 20 ราย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้รับนำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงอย่างเร่งด่วน เนื่องจากตัวอาคารได้พังทับบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงประมาณ 3 หลัง ขณะเกิดเหตุผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบนำร่างผู้ได้รับบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งทราบว่ามีเด็กอยู่ภายในบ้านที่ถูกถล่มจำนวนหลายคน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้ปกครองให้ช่วยเหลือเด็กๆ ที่ติดอยู่ภายในซากอาคารเบื้องต้นเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้รีบนำซากปูนและเหล็กออกมาด้วยความระมัดระวัง พร้อมกับนำเครื่องตัดถ่างมาช่วยนำผู้ได้รับบาดเจ็บทำการรักษาพยาบาลเบื้องต้น และนำส่งโรงพยาบาลสำโรงการแพทย์ จำนวน 12 ราย โรงพยาบาลเปาโลเมมโมเรียล จำนวน 7 ราย โรงพยาบาลสมุทรปราการ จำนวน 2 ราย และโรงพยาบาลเมืองสมุทรปู่เจ้าฯ จำนวน 1 ราย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้เร่งค้นหาผู้ที่ติดอยู่ภายในซากอาคารอย่างเร่งด่วน เสียชีวิตในเวลาต่อมา 1 ร ราย ที่ โรงพยาบาลเปาโล ฯ คือ นายวันนา พาที อายุ 51 ปี
จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่า ขณะเกิดเหตุมีคนงานทำงานตามปกติกว่า 30 คน โดยบริษัท ตันแอนด์ซัน จำกัด เลขที่2117 หมู่ 4 ต.บางเมือง ถ.เทพารักษ์ มีนายนำชัย เอกพัฒนาพานิชย์ ผู้จัดการ ได้ว่าจ้างบริษัท พลิสมาร์เทคนิก้า จำกัด โดยมีนายสมาน ทองอุบล ทำหน้าที่หัวหน้าคนงาน ให้ทำการก่อสร้างอาคารสำนักงานของบริษัท ซึ่งตั้งอยู่ติดกันกับบริษัท ตันแอนด์ซัน แต่ขณะที่ทำการก่อสร้างชั้นที่ 3 อยู่นั้นเกิดเสียงดังครืนสนั่น จากนั้นก็พบว่าตัวเสาของคานจำนวน 6 ต้นไม่สามารถทานน้ำหนักปูนได้ถล่มลงมา ซึ่งด้านล่างมีบ้านเรือนประชาชนอยู่ประมาณ 3 หลัง ทำให้มีผู้ที่อยู่ภายในบ้านได้รับบาดเจ็บถูกอาคารถล่มทับจำนวนมาก
สอบถามคนงานที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า วันนี้ได้มีรถปูนจำนวน 6 คัน นำปูนมาลงเพื่อทำการก่อสร้างอาคารดังกล่าว ซึ่งเสาคานที่เทปูนนั้นยังเทได้ไม่ถึง 1 เดือนคาดว่าอาจจะยังแห้งไม่สนิทดี เพราะโดยปกติที่เคยทำนั้นจะต้องรอให้เสาปูนนั้นแห้งก่อนประมาณ 3 เดือน แต่ทราบว่าทางบริษัทได้เร่งงานจึงต้องเร่งเทปูนเพื่อสร้างเทอเรซยื่นออกไปนอกอาคาร คาดว่า เสาปูนที่ทำเป็นคานนั้นอาจยังไม่แห้งดีพอทำให้รับน้ำหนักไม่ไหวจึงเกิดพังคลืนลงมา
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามตัวผู้จัดการเพื่อสอบถามข้อมูล รวมทั้งจะดูแบบพิมพ์เขียวว่าการก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้มาตรฐานหรือไม่ เพราะเบื้องต้นเท่าที่เห็นพบว่า เหล็กที่อยู่ภายในเสาคานที่หักลงนั้น ได้ขาดออกมาอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าทานน้ำหนักของปูนไม่ไหว ดังนั้น สาเหตุอาจจะเกิดจากการก่อสร้างผิดแบบหรือไม่ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตามจะเร่งติดตามตัว
ด้านนายสุรชัย ขันอาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า หลังจากดูที่เกิดเหตุ คาดว่าอาจจะไม่ปลอดภัย เพราะอาคารอาจพังได้ตลอดเวลา จึงได้กำชับให้เทศบาลสำโรงเหนือเป็นเจ้าของพื้นที่ได้ตรวจสอบว่า การก่อสร้างดังกล่าวนั้นได้ขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ และขอให้เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ กันไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป พร้อมประสานบรรเทาสาธารณภัย เขต 8 จังหวัดปราจีนบุรี นำเครื่องจักรกลหนักมาทำการรื้อซากอาคาร ออกมาเพราะเกรงว่าบางส่วนของอาคารอาจจะถล่มมาได้
วันนี้ (22 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.ธนินท์รัฐ วิชทิพยนานนท์ สารวัตรเวร สภ.สำโรงเหนือ ได้รับแจ้งมีเหตุตึกถล่ม และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชาทราบพร้อมประสานงานเจ้าหน้าที่มูลนิธิรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุอยู่ระหว่างซอยศรีบุญเรือง 1 และ 2 เข้าไปจากปากซอยประมาณ 500 เมตร พบอาคารอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เป็นอาคารกว้าง 19.20 เมตร ยาว 35.5 เมตร โดยคานปูนที่กำลังก่อสร้างบริเวณชั้นที่ 3 เกิดพังลงมาทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 20 ราย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้รับนำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงอย่างเร่งด่วน เนื่องจากตัวอาคารได้พังทับบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงประมาณ 3 หลัง ขณะเกิดเหตุผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบนำร่างผู้ได้รับบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งทราบว่ามีเด็กอยู่ภายในบ้านที่ถูกถล่มจำนวนหลายคน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้ปกครองให้ช่วยเหลือเด็กๆ ที่ติดอยู่ภายในซากอาคารเบื้องต้นเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้รีบนำซากปูนและเหล็กออกมาด้วยความระมัดระวัง พร้อมกับนำเครื่องตัดถ่างมาช่วยนำผู้ได้รับบาดเจ็บทำการรักษาพยาบาลเบื้องต้น และนำส่งโรงพยาบาลสำโรงการแพทย์ จำนวน 12 ราย โรงพยาบาลเปาโลเมมโมเรียล จำนวน 7 ราย โรงพยาบาลสมุทรปราการ จำนวน 2 ราย และโรงพยาบาลเมืองสมุทรปู่เจ้าฯ จำนวน 1 ราย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้เร่งค้นหาผู้ที่ติดอยู่ภายในซากอาคารอย่างเร่งด่วน เสียชีวิตในเวลาต่อมา 1 ร ราย ที่ โรงพยาบาลเปาโล ฯ คือ นายวันนา พาที อายุ 51 ปี
จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่า ขณะเกิดเหตุมีคนงานทำงานตามปกติกว่า 30 คน โดยบริษัท ตันแอนด์ซัน จำกัด เลขที่2117 หมู่ 4 ต.บางเมือง ถ.เทพารักษ์ มีนายนำชัย เอกพัฒนาพานิชย์ ผู้จัดการ ได้ว่าจ้างบริษัท พลิสมาร์เทคนิก้า จำกัด โดยมีนายสมาน ทองอุบล ทำหน้าที่หัวหน้าคนงาน ให้ทำการก่อสร้างอาคารสำนักงานของบริษัท ซึ่งตั้งอยู่ติดกันกับบริษัท ตันแอนด์ซัน แต่ขณะที่ทำการก่อสร้างชั้นที่ 3 อยู่นั้นเกิดเสียงดังครืนสนั่น จากนั้นก็พบว่าตัวเสาของคานจำนวน 6 ต้นไม่สามารถทานน้ำหนักปูนได้ถล่มลงมา ซึ่งด้านล่างมีบ้านเรือนประชาชนอยู่ประมาณ 3 หลัง ทำให้มีผู้ที่อยู่ภายในบ้านได้รับบาดเจ็บถูกอาคารถล่มทับจำนวนมาก
สอบถามคนงานที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า วันนี้ได้มีรถปูนจำนวน 6 คัน นำปูนมาลงเพื่อทำการก่อสร้างอาคารดังกล่าว ซึ่งเสาคานที่เทปูนนั้นยังเทได้ไม่ถึง 1 เดือนคาดว่าอาจจะยังแห้งไม่สนิทดี เพราะโดยปกติที่เคยทำนั้นจะต้องรอให้เสาปูนนั้นแห้งก่อนประมาณ 3 เดือน แต่ทราบว่าทางบริษัทได้เร่งงานจึงต้องเร่งเทปูนเพื่อสร้างเทอเรซยื่นออกไปนอกอาคาร คาดว่า เสาปูนที่ทำเป็นคานนั้นอาจยังไม่แห้งดีพอทำให้รับน้ำหนักไม่ไหวจึงเกิดพังคลืนลงมา
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามตัวผู้จัดการเพื่อสอบถามข้อมูล รวมทั้งจะดูแบบพิมพ์เขียวว่าการก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้มาตรฐานหรือไม่ เพราะเบื้องต้นเท่าที่เห็นพบว่า เหล็กที่อยู่ภายในเสาคานที่หักลงนั้น ได้ขาดออกมาอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าทานน้ำหนักของปูนไม่ไหว ดังนั้น สาเหตุอาจจะเกิดจากการก่อสร้างผิดแบบหรือไม่ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตามจะเร่งติดตามตัว
ด้านนายสุรชัย ขันอาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า หลังจากดูที่เกิดเหตุ คาดว่าอาจจะไม่ปลอดภัย เพราะอาคารอาจพังได้ตลอดเวลา จึงได้กำชับให้เทศบาลสำโรงเหนือเป็นเจ้าของพื้นที่ได้ตรวจสอบว่า การก่อสร้างดังกล่าวนั้นได้ขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ และขอให้เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ กันไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป พร้อมประสานบรรเทาสาธารณภัย เขต 8 จังหวัดปราจีนบุรี นำเครื่องจักรกลหนักมาทำการรื้อซากอาคาร ออกมาเพราะเกรงว่าบางส่วนของอาคารอาจจะถล่มมาได้
